
(ร่วมด้วยช่วยกัน...จากคนเบื่อโลก)
สวัสดีอีกครั้งนะครับชาวสยาม (และอาจจะไม่ใช่ชาวสยามด้วย) ครั้งนี้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ทุกท่านยังสบายดีกันไหมครับ เป็นห่วง ฝนตกบ้าง แดดออกบ้าง บางทีทั้งแดดทั้งฝนมาพร้อมกันซะงั้น ! ดูแลรักษาตัวด้วยนะครับด้วยความเป็นห่วง เอาละทักทายนิดหน่อยแต่พองามต่อจากนี้ก็จะขอนำเข้าสู่เนื้อหากันเลยนะครับ คราวนี้ผมจะมาเสนอในหัวเรื่องของ “สังคมในอุดมคติ” กันนะครับ ทุกท่านครับผมขอตั้งคำถามว่า ทุกท่านมี “ความฝัน” หรือไม่ครับ โดยเฉพาะเรื่องที่เราแทบจะบอกไม่ได้เลยหรือเชื่อได้เลยว่า “เป็นไปไม่ได้” ผมเชื่อว่าในคำถามนี้ทุกคนคงมีคำตอบอยู่ในใจเป็นแน่ครับ แต่นี่เป็นคำถามกว้างๆครับ เอาละผมจะลงลายละเอียดของคำถามให้เจาะจงมากขึ้นนะครับ เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นอยู่ในสังคมก็คือ “ทุกท่านมีความฝันเรื่องสังคมที่เป็นอุดมคติหรือไม่ครับ ?” ผมเชื่อว่ากว่า ร้อยละ 90 ต้องตอบว่ามีแน่ๆครับ ผมคิดว่าทุกคนต้องเคยคิดเรื่องเกี่ยวกับสังคมในอุดมคติมาบ้างแหละครับ แต่จะแสดงออกมา (เหมือนเช่น เพลโต อริสโตเติล มาร์ก เป็นต้น) และจัดระเบียบความคิดของตนออกมาได้หรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ทุกคนต้องผ่านประสบการณ์ตรงนี้มาบ้างแหละครับ ด้วยปัญหาที่ยกมานี้ผมคาดการณ์ว่าสาเหตุที่เป็นแรงผลักดันให้ทุกคนตั้งคำถามดังกล่าวนั้นก็เนื่องมาจากความคิดที่ว่า “เราพอใจในชีวิตความเป็นอยู่ของเราหรือไม่?” และก็มีหลายคนที่คิดไกลไปอีกว่า “เราพอใจในชีวิตความเป็นอยู่ของเพื่อนร่วมโลกของเราหรือไม่?” ผมคิดว่าทุกคนต้องเคยถามตัวเองบ้างละ (โดยเฉพาะพวกเราชาวสยามซึ่งอยู่ในสังคมนี้) แต่อาจจะมีบางท่านที่อาจจะ “พอใจ” กับชีวิตความเป็นอยู่เช่นนี้อยู่แล้วก็ไม่เป็นไรครับ นั่นเป็นสิทธิส่วนบุคคลของคนกลุ่มนั้น แต่ถ้าเป็นตามทัศนะของผมเองผมคงจะตอบอย่างแน่นอนเป็นที่สุดว่า “ไม่พอใจอย่างแรง!”
เอาละครับเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาที่จะต้องมาย้อนอดีตกันไปมาอีก ผมได้เคยเสนอไปก่อนแล้วนะครับว่าทัศนะทางการเมืองและสังคมนั้นได้ถูกแบ่งออกเป็นกระแสหลักๆอยู่สองสายด้วยกันนะครับนั่นก็คือ กลุ่มแรก กลุ่มที่ถือว่าสังคมการเมืองไม่ว่าจะเรียกว่ารัฐ ประเทศ หรืออะไรก็ตามที่เป็นที่รวมของปัจเจกบุคคล คนแต่ละคนที่มารวมกันอยู่นี้ต่างมีผลประโยชน์ที่จะต้องปกป้อง การอยู่รวมกันเป็นสังคมการเมืองในทัศนะของนักปรัชญากลุ่มนี้เปรียบเสมือนการทำสัญญา หรือกติกาที่ทุกคนร่วมกันสร้างขึ้น เป็นข้อตกลงร่วมที่ทุกฝ่ายทุกฝ่ายเห็นพ้องว่าอำนวยผลประโยชน์ให้ตนมากที่สุดหรือเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของตนให้ได้มากที่สุด กลุ่มที่สอง คือกลุ่มที่มองว่าสังคมการเมืองไม่ใช่ที่รวมของปัจเจกชนที่มีผลประโยชน์ส่วนตนอันจะต้องปกป้องรักษา แม้รัฐหรือประเทศจะประกอบด้วยปัจเจกมากมาย แต่ปัจเจกนั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของประเทศ ส่วนย่อยนี้ไม่มีความสำคัญเท่าส่วนรวม ประเทศสำคัญกว่าปัจเจกบุคคล ผลประโยชน์ของชาติต้องมาก่อนผลประโยชน์ของปัจเจก ส่วนเนื้อหาปลีกย่อยนั้นจะไม่ขอกล่าวถึงนะครับ แต่ที่สำคัญก็คือว่า ทั้งสองแนวความคิดนี้ ต่างฝ่ายต่างก็มีแนวความคิดของรัฐหรือสังคมในอุดมคติเหมือนกันครับ (แต่ว่ารูปแบบของรัฐและสังคมนั้นมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงครับ) ในทัศนะเรื่องรัฐในอุดมคตินั้นหากจะกล่าวไปก็เป็นเรื่องที่มีต้นกำเนิดมายาวนานมากถ้านับตามประวัติศาสตร์นั้นก็ตั้งแต่สมัยกรีกโบราณนะครับ คนที่นำยูโทเปียหรือรัฐในอุดมคติให้เห็นอย่างเป็นรูปเป็นร่างนั้นก็คือ เพลโต ผ่านงานเขียนเรื่อง อุดมรัฐ แต่ถ้าตามทัศนะของผมนั้นผมมองว่าในเรื่องรัฐในอุดมคตินั้นน่าจะเริ่มมาจากยุคก่อนเพลโตเสียอีก เช่น ปิทากอรัส เฮราคลิตุส และโสเครตีสเป็นต้น เอาละครับต่อจากนี้เรามาทำความเข้าใจในคำว่า “ยูโทเปีย” (Utopia) กันก่อนนะครับ
ยูโทเปีย ถูกนิยามความหมายจากพจนานุกรม Webster เอาไว้ดังนี้
1. ยูโทเปีย หมายถึง สถานที่แห่งความสมบูรณ์ในเชิงอุดมคติ และ
2. เป็นแบบแผนในจินตนาการสำหรับสังคมที่สมบูรณ์แบบสังคมหนึ่ง
Utopia มาจากคำในภาษากรีก eu-topia ซึ่งหมายถึง Good Place(สถานที่ที่ดี) และเสียงของคำนี้ยังพ้องกับคำ ou-topia ซึ่งหมายความว่า No place(ไม่ มีที่ใด)
ยูโทเปียนั้นเป็นแนวคิดเชิงอุดมคติเกี่ยวกับโลกอันสมบูรณ์ที่ โทมัส มอร์ (Thomas More) นักปรัชญามานุษยนิยมชาวอังกฤษ เขียนขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1516 ในยุคสมัยของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 แห่งราชวงศ์ทิวดอร์ (สมัยเดียวกับกรุงศรีอยุธยาตอนต้น) โดยเขียนขึ้นเป็นภาษาละตินและต่อมาได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษในปี 1551 โดยราล์ฟ โรบินสัน
มอร์ เป็นนักการศาสนาที่เคร่งครัด จนได้รับการสถาปนาเป็นนักบุญเมื่อปี 1935 และเป็นนักการเมืองมือสะอาด แต่มอร์ต้องเสียชีวิตจากการถูกประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 1535 สืบเนื่องจากความเห็นขัดแย้งทางการเมือง ต่อพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8
เขาเห็นความลำบากยากแค้นของประชาชน ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างขุนนางกับชาวนา ในขณะที่เขาดำรงตำแหน่งเป็นตัวแทนจากรัฐ ไปเจรจาการค้าที่แฟลนเดอร์ หลังจากที่พระเจ้าชาร์ลส์แห่งเนเธอร์แลนด์ ขึ้นภาษีนำเข้าขนสัตว์ในอัตราที่สูงลิ่ว
ระหว่างการเดินทาง มอร์เกิดแรงบันดาลใจให้นึกถึงหนังสือ Republic ของเพลโตที่ว่าด้วยการปกครองที่ดี และเมื่อย้อนนึกถึงความทุกข์ยากของอังกฤษในเวลานั้น มอร์จึงเขียนถึงสังคมในอุดมคติที่มีชื่อว่า "ยูโทเปีย (Utopia)" ขึ้น โดยตั้งใจเขียนเป็นวรรณกรรมเสียดสีล้อเลียนความโง่เขลาและความเลวร้ายของสังคมในสมัยนั้น สังเกตจากการตั้งชื่อต่างๆ อาทิ ยูโทเปีย มาจากภาษากรีก หมายถึงเมืองที่ดีหรือเมืองที่ไม่มี ณ แห่งหนใด (eu-topia = good place และพ้องเสียงกับความหมายที่ว่า no place เช่นกัน)
ยูโทเปียเป็นสังคมในฝันเพราะการสร้างค่านิยมในเรื่องการรักษาคุณธรรมและความพึงพอใจในการใช้ชีวิต ชาวยูโทเปียไม่ให้ความสำคัญกับวัตถุ โดยเห็นว่าเงินและทองเป็นสิ่งหยาบช้า ไม่มีค่า มีไว้สำหรับทำโซ่สำหรับทาส หรือจ้างคนชั่วไปทำสงครามแทน
นี่ละครับทุกท่านเป็นที่มาของคำว่า “ยูโทเปีย” ประเด็นต่อมาที่จะกล่าวถึงก็คือ เราคงได้ทราบมาแล้ว (และคงเรียนมาเยอะ) ว่าทัศนะทางสังคมและการเมืองนั้นถูกแบ่งเป็นสองอย่างชัดเจน แล้ว “รัฐและสังคมในอุดมคติ” ของทั้งสองแนวความคิดนี้จะเป็นอย่างไร ผมจะขอยกตัวอย่างที่ทุกท่านจะเห็นได้ง่ายๆกันก่อนนะครับนั่นก็คือ “รัฐหรือสังคมในแบบเสรีนิยมและทุนนิยม” ที่ผมยกมาก่อนแนวความคิดอีกกลุ่มหนึ่งเพราะว่าเราสามารถดูได้จากประเทศที่มีอยู่ในปัจจุบัน ที่ใช้แนวความคิดสายนี้ได้ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา นั่นเองเราจะสามารถเห็นความเป็นสังคมและรัฐได้ชัดเจนมากขึ้น ประชาชนมีสิทธิ มีเสรีภาพ รัฐบาลทำหน้าที่ปกป้องสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ประชาชนมีสิทธิเท่าเทียมกันแต่อยู่ที่ว่าใครจะใช้สิทธิของตนมากกว่ากัน ผมคิดว่าเหล่านี้ล้วนเป็นสาระของแนวคิดทางซีกนั้น และแน่นอนคือมีตัวอย่างให้เห็นกันแล้ว เราเห็นได้ชัดมาก (มากเกินไปด้วยซ้ำ) จะขอยุติในการกล่าวถึงสายความคิดนี้เพียงเท่านี้นะครับ
ต่อจากนี้ผมจะขอพูดถึงในแนวความคิดอีกสายหนึ่งกันบ้างนะครับ คราวนี้อาจจะเจาะลึกหน่อยนะครับเพราะผมมองว่าในโลกแห่งความเป็นจริงเรามีประเทศที่เป็น “รัฐและสังคมในอุดมคติ” ตามแบบฉบับของ “เสรีนิยมและทุนนิยม” กันมาแล้ว แต่ในฝั่งความคิดนี้ (โดยจะเน้นที่สังคมคอมมิวนิสต์ของ คาร์ล มาร์กซ์) ยังไม่อาจจะมีประเทศไหนเลยที่จะเป็น “รัฐและสังคมในอุดมคติ” เลยแม้แต่ประเทศเดียว แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านช่วงเวลาของ “สงครามเย็น” (สำหรับความหมายของคำว่าสงครามเย็นในพจนานุกรมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ได้ให้ความหมายไว้ว่า “สภาวะความตึงเครียดและความเป็นปฏิปักษ์กันอย่างรุนแรงระหว่างมหาอำนาจตะวันตกกับค่ายคอมมิวนิสต์ของยุโรปตะวันออก”) กันมาแล้วก็ตาม จนสงครามเย็นสิ้นสุด ทุนนิยมมีชัย แล้วอุดมการณ์แห่งสังคมคอมมิวนิสต์ละหายไปไหน ซึ่งแล้วแต่จะคิดกัน จากการศึกษาค้นคว้า เราได้แนวคิดต่อสังคมคอมมิวนิสต์ดังนี้
1. สังคมคอมมิวนิสต์ เป็นสังคมขั้นสุดท้าย เกิดขึ้นภายหลังจากที่บรรดานายทุนและผู้เลื่อมใสในระบบทุนนิยมถูกจำกัดโดยรัฐบาลแห่งชนชั้นกรรมาชีพ จนไม่หลงเหลืออยู่บนพื้นโลก เป็นสังคมที่บันดาลสันติภาพให้มีทั่วทั้งโลก และทุกคนมีความเสมอภาคกัน ความรู้สึกแห่งการเป็นปฏิปักษ์ต่อกันระหว่างชนชั้นจะไม่มีอีกต่อไป เพราะจะเหลืออยู่เพียงชนชั้นเดียวเท่านั้น คือชนชั้นกรรมาชีพ ซึ่งดำรงชีวิตสอดคล้องกับอุดมการณ์ของเขาและมนุษยชาติจะเริ่มสังคมคอมมิวนิสต์ใหม่และสมบูรณ์ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายปลายทางที่พลังแห่งการวิภาษในประวัติศาสตร์ได้นำมา
2. สังคมคอมมิวนิสต์ เป็นสังคมเอกภาพ ทุกคนเป็นพลเมืองของโลกเหมือนกันหมดไม่มีรัฐบาลอีกต่อไป ทุกคนจะมีเสรีภาพอย่างแท้จริงและประสบกับความเสมอภาคอย่างแท้จริงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้ว่าจะมีการยอมรับว่า คนบางคนจะมีความเสมอภาคในการบริหารประชาคมเหนือกว่าคนอื่นๆ แต่ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจอันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดจะมีอยู่ในสังคม คนทุกคนจะทำงานตามความสามารถของเขา และได้รับส่วนแบ่งของผลิตผลไปตามความจำเป็นในการครองชีพของเขา
3. คาร์ล มาร์กซ์ เชื่อว่า คนในสังคมคอมมิวนิสต์นี้ จะเป็นผู้มีคุณธรรมสูง มีความร่วมมือกันกับเพื่อนร่วมสังคมของเขาอยู่เสมอ บรรยากาศของการแข่งขันจะไม่มีอยู่ในสังคมนี้ ปัญหาทางการเมืองหรือความขัดแย้งระหว่างคนในสังคมจะไม่เกิดขึ้น เพราะปัญหาต่างๆ เหล่านั้นจะมีขึ้นก็ต่อเมื่อคนมีกรรมสิทธิ์ส่วนตัว หรือยังมีชนชั้นอยู่ในสังคม อันจะทำให้มีการเรียกร้องผลประโยชน์หรือสิทธิ สังคมคอมมิวนิสต์นี้เป็นสังคมที่มีสันติภาพอันถาวร
ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นต้องมีรัฐบาลคอยควบคุมความขัดแย้ง คนในสังคมจะร่วมมือกันปกครองตนเองอย่างมีความสุข
4. ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะได้รับการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ความเจริญของระบบการผลิตทำให้คนมีความสุขสบายขึ้น ทำงานน้อยชั่วโมงลง และมีเวลาสำหรับสนใจเรื่องอื่นๆ เช่น วัฒนธรรมมากขึ้น ความก้าวหน้าในวิธีการผลิต จะไม่เป็นโรคร้ายทำลายตัวเองเหมือนในระบบทุนนิยม เพราะสังคมที่จัดสรรผลิตผลที่ได้อย่างเหมาะสมแล้วจะไม่ประสบปัญหาการเฟ้อของผลผลิต การบริโภคต่ำ การว่างงานและภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
ถ้าจะเปรียบเทียบทัศนะในเรื่องสังคมในอุดมคติของ มาร์กซ์ ก็คือ “คอมมิวนิสต์” กับของ โทมัส มอร์ ซึ่งก็คือ “ยูโทเปีย” นั้นค่อนข้างที่จะตรงกันมากในหลายๆประเด็นหลัก เช่น ความเสมอภาคอย่างแท้จริง การหลุดออกจากกรอบของ “ทรัพย์สิน” ความมีศีลธรรมและจริยธรรมแท้จริงของคนในชาติ เป็นต้น ฉะนั้นแล้วก็แทบจะเทียบกันได้ในระดับหนึ่งเลยว่า “ยูโทเปีย” ก็คือ “สังคมคอมมิวนิสต์” นั่นเอง และด้วยเหตุนี้นั้นทำให้ แนวคิดเรื่อง รัฐและสังคมในอุดมคติของฝ่าย “เสรีนิยมและทุนนิยม” นั้นจะยิ่งเป็นการห่างจากความเป็นอุดมคติมากขึ้นไปอีก เพราะรัฐและสังคมในแบบ “เสรีนิยมและทุนนิยม” นั้นแท้จริงก็เป็นเรื่องของความเป็นไปตามธรรมดาสามัญของสังคมมนุษย์ในปัจจุบันเท่านั้น ที่มีทั้งความเห็นแก่ตัว แก่งแย่งผลประโยชน์ มีกิเลส ตัณหาเป็นตัวครอบงำ
ซึ่งจะแตกต่างโดยสิ้นเชิงในความหมายของคำว่า “ยูโทเปีย”
ความคิดเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับ “ยูโทเปีย”จากการที่ได้มีการศึกษาค้นคว้าทัศนะทั้งสองฝ่ายและการศึกษาถึงคำว่า “ยูโทเปีย” หรือจะเรียกว่า “รัฐและสังคมที่เป็นอุดมคติ” มาแล้วนั้นผมมีความคิดเห็นอย่างหนึ่งว่า รัฐและสังคมที่เป็นอุดมคติได้นั้นจะต้องไม่ใช่ทั้ง เสรีนิยมทุนนิยม หรือคอมมิวนิสต์ (รวมทั้งแนวคิดอื่นๆที่เคยได้ศึกษามา แต่ว่าไม่ได้กล่าวถึงเพราะว่าไม่อย่างนั้นตัวผมคงลาโลกไปก่อน แนวความคิดที่ว่านี้ เช่น อริสโตเติล, เล่าจื้อ, จวงจื้อ, ขงจื้อ, เม่งจื้อ, ฮั่นเฟยจื้อ, หรือในศาสนาพราหมณ์ เป็นต้น) “รัฐและสังคมที่เป็นอุดมคติ” แท้จริงนั้นจะต้องไม่ใช่ “เสรีนิยมทุนนิยม” เพราะผมมีความคิดว่า เสรีนิยมทุนนิยมนั้นไม่ได้สร้างอะไรเลยนอกจากปัญหา โลกปัจจุบันที่มีปัญหาก็เพราะการที่ทุกคนเอาแต่ใช้เสรีภาพของตนแสวงหาสิ่งที่เป็นทุน จนลืมมองว่าแท้จริงสิ่งที่เรากำลังทำอยู่มีผลกระทบต่อคนอื่นและโลกมากขนาดไหน คนๆเดียวสามารถทำร้ายมนุษย์ได้มากมายมหาศาลเพียงเพื่อ “ผลประโยชน์” ตามความคิดเห็นของผมมองว่าเสรีนิยมทุนนิยมนั้นมุ่งให้สังคมคงอยู่ในรูปของคำว่า “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” คนที่มีศักยภาพมากกว่าสามารถที่จะอยู่รอดได้ต่อไป คนที่อ่อนแอกว่าต้องยอมสยบให้ผู้ที่อยู่สูงกว่าหรือไม่อย่างนั้นก็ต้องตาย ผมคิดว่าผลผลิตที่ได้มาจากความเชื่อเหล่านี้จะนำไปสู่ “สังคมแห่งความกลัว” คนในสังคมมีความหวาดระแวงซึ่งกันและกันว่าจะถูกล่วงละเมิดสิทธิเมื่อไร ดังนั้นจึงควรมีรัฐ แต่นั่นก็ใช่ว่าความกลัวและหวาดละแวงจะหมดไป เพราะแท้จริงคติความเชื่อในเรื่อง “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” นั้นก็ต้องมีอยู่เสมอไปตราบเท่าที่มนุษย์ยังถือตนว่ามีสิทธิเสรีภาพอย่างไม่ประมาณตน และที่สำคัญผมคิดว่าในโลกของ “เสรีนิยมทุนนิยม” นั้นเปรียบเสมือนการ “ลดคุณค่าของความเป็นคน” ลงไปเปรียบได้กับสัตว์ที่มีความคิดเท่านั้น ถึงแม้ว่าผมจะมีทัศนะที่ไม่ได้มองว่ามนุษย์นั้นมีความสูงส่งกว่าสิ่งใดแต่ก็บอกได้อย่างเต็มปากว่าเราคือคน ผู้ซึ่งมีอารยธรรม ไม่ใช่เป็นเพียงแค่สัตว์ตัวหนึ่งเท่านั้น นี่คือมุมมองต่อฝ่าย “เสรีนิยมทุนนิยม” แต่ผมก็ไม่ขอปฏิเสธถึงเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ที่ยังคงมีกิเลส ตัณหา ความต้องการ และสัญชาติญาณ ในการเอาตัวรอดของคนแต่มุมมองของ “เสรีนิยมทุนนิยม” นั้นก็เป็นแค่มุมมองด้านเดียวเกี่ยวกับคนเท่านั้น (เช่นที่ฮอบส์สอนในเรื่องอันตนิยมที่ว่าธาตุแท้มนุษย์คือความเห็นแก่ตัว) และในมุมมองอีกด้านหนึ่งก็คือ ผมมองว่า คอมมิวนิสต์ ก็ไม่ใช่ทางที่จะไปสู่สังคมอุดมคติได้เช่นกัน เพราะผมคิดว่าสังคมคอมมิวนิสต์นั้นมันมีความเป็นอุดมคติที่มากเกินไป จนไม่สามารถเป็นจริงได้ เช่นเดียวกับความหมายของคำว่า “ยูโทเปีย” มันเป็นไปได้ยากที่คนจะไม่ขัดแย้งกับคน และการที่คนจะไร้ซึ่งการดิ้นรนเอาตัวรอด ต่อสู้ชีวิตในฐานะคนจะเป็นคนได้หรือไม่ ถ้าท่านได้มีโอกาส ผมขอแนะนำ animation เรื่องหนึ่งนะครับนั่นคือเรื่อง Wall E (พอดีว่าจำชื่อจริงๆไม่ค่อยได้ ถ้าเขียนผิดก็ขออภัยด้วย) ผมคิดว่าสภาพของมนุษย์ในเร่องนี้นั้น ก็ได้บ่งบอกถึงก้าวต่อไปของสังคมคอมมิวนิสต์เช่นกัน เมื่อเทคโนโลยีก้าวล้ำไปอย่างสุดจะจินตนาการ มนุษย์จะคงอยู่ในความเป็นมนุษย์ได้หรือไม่
ตามทัศนะของผมนั้นผมมีความคิดที่ว่า “รัฐและสังคมในอุดมคติ” นั้นต้องมีทางที่จะสามรถเป็นจริงได้นี่คือการให้กรอบทางความคิดของผม ผมคิดว่าหาก “รัฐและสังคมในอุดมคติ” นั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ “เป็นเพียงความฝัน” ที่ลมๆแล้งๆ ผมขอบอกเลยว่าผมคงจะไม่พยายามเสนอความคิดเกิน ๕ บรรทัดเป็นแน่ หากเป็นแค่เพียง ฝันที่ไม่มีหวังเป็นจริง ผมจะไม่ใส่ใจเลย นี่แหละครับคือการให้กรอบทางความคิดของผม ซึ่งยูโทเปียของผม ผมไม่ได้ต้องการให้เห็นได้แค่ในความฝันเท่านั้น แต่ต้องมีคุณค่าและเป็นจริงได้
เอาละครับทุกท่านคราวนี้ผมจะมาเปิดความคิดของผมกันละครับว่า “ยูโทเปีย” ในแบบฉบับที่ผมคิดนั้นเป็นอย่างไร ตามความคิดของผมนั้นผมมองว่าแก่นแท้จริงของ “รัฐและสังคมในอุดมคติ” นั่นก็คือ “ธรรม” นั่นเองครับ เป็นคำตอบเดียวที่เรียบง่าย กระชับ ได้ใจความ ถึงแม้ว่าคนจะมีความแตกต่างกันมากแค่ไหนก็ตาม เชื้อชาติ ประเทศ ศาสนา ถ้าหากแต่ทุกคนมี “ธรรม” เห็นอกเห็นใจกัน ช่วยเหลือกัน เท่านี้ก็เป็น “ยูโทเปีย” ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ เพราะนั่นมิได้หมายความว่ามันทำให้คนจิตใจสูง สำคัญที่สุดคือ “อยู่ที่ใจคน” ต่างหากและถือเป็นการพัฒนาที่มั่นคงและยั่งยืนด้วย นี่ละครับ “รัฐและสังคมในอุดมคติ” ตามแบบฉบับของผมเลย ไม่ยากนะครับ แต่ไม่ง่าย แค่ขอความร่วมมือจากคนทั้งโลก ไม่ต้องสร้างอะไรใหม่ และไม่ต้องทำลายอะไรเลย
แค่นี้ก็ถือเป็น “รัฐและสังคมในอุดมคติ” ได้แล้วละครับ
หมายเหตุ: ที่เสนอมาทั้งหมดนี้ในบางทีก็เป็นอคติของผมเองแหละครับ ยากนะครับพูดเรื่องการเมือง สังคม จะไม่ใส่อคติตัวเองไป แต่ก็ดีนะครับ อย่าเก็บไว้เลยครับแสดงออกมาเถอะ แต่แสดงออกในทางที่สร้างสรรค์นะครับ
คุยก่อนลาเอาละครับผมขอจบหัวข้อด้วยประการฉะนี้นะครับ โอย...เสนอมาซะยืดยาว จะโดนใจบ้างหรือเปล่าก็ช่วยบอกทีนะครับ เป็นอีกครั้งที่หนักใจตอนทำ และ รู้สึกสบายใจด้วย เพราะอยากจะลองทำเรื่องนี้มานาน เป็นไงทำหายอยากเลย ใครที่อ่านมาได้ถึงตรงนี้ผมก็ต้องขอชื่นชมอย่างแรงเลยนะครับ คุณเยี่ยมมาก มีความอดทนเป็นเลิศจริงๆ ถึงตอนนี้ผมคงต้องขอกล่าวลาแล้วละครับ ตอนที่ทำบทความอยู่ ช่วงเวลานี้คือ ตี ๓ นะครับคงจะทนต่อไปบ่ไหวแล้วครับ
ต้องขอขอบคุณที่อ่านและขอให้มีความสุขกันถ้วนหน้านะครับ...Bye...
ทุกคนมีสิทธิที่จะฝันใช่ไหมครับ......................................ป.ล. ถึง อาจารย์ยิ่งยศ
ผมคิดว่าอาจารย์เป็นอย่างนี้ดีแล้วครับ สนุกและได้สาระ ดีครับ
ถ้าอาจารย์มีเวลาว่างมาเปิดวิชาเรียนเพิ่มอีกสักวิชาก็ได้นะครับแล้วจะลงเรียน
ข้อมูลเพิ่มเติม
http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2008q3/2008september24p3.htm
http://creatures.igetweb.com/index.php?mo=3&art=162317
http://www.tortaharn.net/contents/index.php?option=com_content&task=view&id=129&Itemid=76
ชัยวัฒน์ อัตพัฒน์, รศ. (๒๕๔๗). ปรัชญาตะวันตกสมัยใหม่ ๒ (พิมพ์ครั้งที่ ๕). สำนักพิมพ์
มหาวิทยาลัยรามคำแหง