วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

วันที่ไม่สงบ ...?...


ได้กลับมาพบกันอีกครั้งครับ.............หลังจากหายตัวไปนาน ทุกท่านยังคงสบายดีไหมครับ
วันนี้ที่ม.บูรภา เป็นช่วงวันรับปริญญาครับ ต้องขอแสดงความยินดีทุกท่านที่จะได้รับปริญญาด้วยครับ อย่างใจจริง ขอให้มีความสุขกันทุกท่านนะครับ
แต่สำหรับคนอย่างผมเนี่ย ไม่ได้มีความสุขเลยนะครับ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบหรืออะไรหรอกครับ แค่รู้สึกว่า "ตัวกูทำอะไรอยู่วะ" (ขออภัยที่ใช้คำหยาบคายครับ) มันก็มาจากที่ผมซิ่วนะครับ ถ้าผมไม่ซิ่ว ป่านนี้ผมคงเรียนจบและรับปริญญาไปแล้ว
วันนี้ผมเข้ามาในมหาลัย เห็นเพื่อนๆหลายคนเค้าแต่งชุดรับปริญญากัน ก็ทักบ้าง ไม่ทักบ้าง แล้วแต่สมควรและสถานการณ์ แต่ความเป็นจริงวันนี้ผมไม่อยากทำอะไรเลยให้ตายสิ ยิ่งเข้ามาในมหาลัย ยิ่งเห็นภาพที่ทุกคนมีความสุข ผมยิ่งไม่สงบ ยิ่งเจ็บปวด และยิ่งโทษตัวเองเข้าไปอีก เพราะถ้าจะว่ากันตามตรงที่เห็น ที่ทุกคนเตรียมตัวรับปริญญา ก็รุ่นเดียวกับผมทั้งนั้นแหละครับ ...แต่มัยังไม่ถึงเวลาของผม...
ที่พูดนี้ไม่ใช่ผมมีจุดประสงค์อะไรไม่ดีต่อผู้อื่นนะครับ แต่ผมแค่ต้องการจะแสดงความรู้สึกที่มีอยู่ภายในตัวเท่านั้น เป็นความรู้สึกที่ตัวผมมีมุมมองอย่างไรเกี่ยวกับตัวเอง นี่มันอาจจะเป็นเวรกรรมของผมก็ได้
แต่ผมไม่คิดที่จะยอมแพ้หรอกครับ แม้การตัดสินใจผิดพลาดในอดีตทำให้ต้องเสียเวลาไป ๑ ปีก็ตาม แต่ถ้ายังไม่ถึงจุดหมาย มันก็ยังไม่จบ ชีวิตผมต้องดำเนินต่อไป ความผิดพลาดมันมีได้ทุกคน เหมือนที่นโปเลียนเคยกล่าวไว้ว่า "คนไม่เคยผิดพลาด ไม่ใช่คน" เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อล้ม ก็ต้องลุกขึ้นมาใหม่

......เรื่องราวยังไม่จบ แล้วพบกันใหม่บนความสำเร็จ......

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ปฏิวัติชาติ “สยาม” สู่ “ไทย” พ้นจากความเลวร้าย... สู่ความเลวร้ายกว่า จริงหรือ ?



(ร่วมด้วยช่วยกัน...จากคนเซ็งประเทศ)

เอาละครับ...ขำกันให้ฟันร่วงกันเชียว! ขำกันให้ตาย! ...วันนี้ก็มาถึงจนได้ หัวข้อในวันนี้ พูดถึงพี่ไทยล้วนๆครับ ให้ดับดิ้นเถอะครับ ถ้าตามหัวข้อจริงที่ได้รับบัญชามาก็คือ “หลวงประดิษฐมนูธรรมกับการเปลี่ยนแปลงสังคมและการเมืองไทย” แต่ยังไงก็ตาม มันก็เกี่ยวกับพี่ไทยแน่ๆ โธ่ถัง ถ้าจะว่ากันตามจริงแล้วทุกครั้งในเนื้อหาหลักผมพยายามเลี่ยงการพูดถึงเกี่ยวกับพี่ไทยให้มากที่สุดนะครับ พยายามมองแค่ในมุมของ “เสรีนิยม” และ “อเสรีนิยม” ที่เป็นแนวคิดสากลล้วนๆ แต่คราวนี้ เจาะใจเลยครับ พี่ไทยครับ หรือชื่อเดิมพี่แกคือ พี่สยาม และไหนจะยังเรื่องปฏิวัติสังคมการเมืองของท่านปรีดี พนมยงค์หรือหลวงประดิษฐมนูธรรมอีกเล่า เฮ้อน่าปวดใจจริงครับ

ขอระบายเล็กน้อยนะครับ ความจริงแล้วผมไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดีต่อชาตินะครับ แต่ว่าที่ผมเซ็งสุดกับครั้งนี้ เพราะผมเบื่อการเมืองไทยอย่างสุดๆเลยครับท่านผู้ชมทั้งหลาย ผมไม่รู้ว่าทุกท่านคิดเหมือนผมหรือไม่ก็ตาม ผมไม่เคยพอใจกับ “ระบบ” ของประเทศนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นทั้งระบบข้าราชการ ทั้งประจำ การเมือง ไปจนถึงระบบ “ความคิด” แบบบ้านๆของไทยเลย เช่น สอนให้ลูกเป็นเจ้าคนนายคน เป็นแล้วทำไม ก็โกยน่ะสิครับ ขำหรือเปล่าครับทุกท่าน ผมขำจนน้ำตาไหลพรากเลย พวกชนชั้นปกครองก็สุดยอดครับ โอย...ไม่ต้องSaid... “ระบบมันบ้าไปแล้วครับ” แ...ง กินยาไม่เขย่าขวดหรือไง (ขณะเขียนใจหายและเหงื่อแตกเป็นนิจ) และไหนต้องพูดถึงในช่วงการเปลี่ยนแปลงประเทศโดยคณะราษฎรสายพลเรือน ในปี ๒๔๗๕ โดยท่านปรีดี พนมยงค์ อีกละ ผมเข้าใจว่า ท่านต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศในทางที่ดีขึ้น (ใช่หรือไม่คงตอบไม่ได้คงต้องรอไปถามท่านเองครับ) แต่ว่า ณ ปัจจุบัน นี้ล่ะ เป็นไงครับ...................... ยอดเยี่ยมมากครับ! เราเป็นสุดยอดครับ สุดยอดที่อีกไม่นานก็จะสิ้นชาติ................. (หยุดคิดนิดนึง...กำลังระงับอารมณ์ที่กำลังขึ้น) เฮ้อ แต่ยังไงงานต้องเป็นงานครับ เลิกบ่นก่อนดีกว่า คราวนี้ก็เข้ามาสู่เนื้อหากันดีกว่าครับ


ปรีดี พนมยงค์

ก่อนอื่นเรามารู้จักท่านปรีดี พนมยงค์ หรือ หลวงประดิษฐมนูธรรม (ที่ไม่ใช่หลวงประดิษฐไพเราะ) กันก่อนดีกว่าครับ

ศาสตราจารย์ ดร. ปรีดี พนมยงค์ (11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 - 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526) หรือ หลวงประดิษฐมนูธรรม เป็นผู้นำสมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือน ผู้อภิวัฒน์การปกครองของสยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย เป็นนายกรัฐมนตรี 3 สมัย และรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ อีกหลายสมัย ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยต่อต้านกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น มีชื่อรหัสว่า "รู้ธ" เป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง และเป็น "ผู้ประศาสน์การ" คนแรกและคนเดียวของมหาวิทยาลัยฯ นอกจากนี้ยังเคยดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ 8และได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องในฐานะ "รัฐบุรุษอาวุโส" ด้วย

ในปี พ.ศ. 2543 องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ได้ประกาศบรรจุชื่อปรีดีไว้ใน ปฏิทินบุคคลสำคัญของโลก ปี ค.ศ. 2000-2001

ประวัติ

ปรีดี พนมยงค์ หรือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 ที่เรือนแพหน้าวัดพนมยงค์ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นบุตรคนที่ 2 ของ นายเสียง พนมยงค์ และ นางลูกจันทน์ พนมยงค์ โดยบรรพบุรุษข้างบิดาสืบเชื้อสายมาจากพระนมในสมัยกรุงศรีอยุธยา ชื่อ "ประยงค์" (เล่าสืบต่อกันมาว่า พระนมประยงค์ เป็นผู้สร้างวัดในที่สวนของตัวเอง ห่างจากกำแพงพระราชวังด้านตะวันตกโดยตั้งชื่อตามผู้สร้างว่า วัดพระนมยงค์ หรือ วัดพนมยงค์ ซึ่งต่อมาเมื่อมีการประกาศพระราชบัญญัติขนานนามสกุล พ.ศ. 2456 ทายาทจึงได้ใช้นามสกุลว่า "พนมยงค์" ซึ่งตระกูลพนมยงค์ได้อุปถัมภ์วัดนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน )

การศึกษา

สำเร็จการศึกษาในระดับประถมที่ โรงเรียนวัดศาลาปูน อำเภอกรุงเก่า ได้เข้าศึกษาต่อชั้นมัธยมต้น ณโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร และมัธยมปลาย ณ โรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลกรุงเก่า หรือปัจจุบันคือ โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย และโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย หลังจากนั้นออกมาช่วยบิดาทำนาหนึ่งปี และจึงได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม เมื่อปี พ.ศ. 2460

ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2462 สอบไล่วิชากฎหมาย ชั้นเนติบัณฑิตได้ เมื่ออายุ 19 ปี และเมื่ออายุ 20 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกเนติบัณฑิตยสภา เนื่องจากกระทรวงยุติธรรมพอใจในผลสอบ จึงให้ทุนไปเรียนต่อด้านกฎหมายที่ประเทศฝรั่งเศส โดยเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยก็อง (Univesite de Caen) และศึกษาพิเศษจากอาจารย์เลอบอนนัวส์ (Lebonnois) จนสำเร็จการศึกษาได้ปริญญารัฐเป็น "บาเชอลิเอร์" กฎหมาย (Bachelier en Droit) และได้ปริญญารัฐเป็น "ลิซองซิเอ" กฎหมาย (Licencie en Droit)

เมื่อ พ.ศ. 2469 สำเร็จการศึกษาด้านนิติศาสตร์ (Sciences Juridiques) ระดับปริญญาเอก และสอบไล่ได้ประกาศนียบัตรการศึกษาชั้นสูงในทางด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง (Diplome d’Etudes Superieures d’Economic Politique) จากมหาวิทยาลัยปารีส ได้ปริญญารัฐเป็น "ดุษฎีบัณฑิตกฎหมาย"(Docteur en Droit) นับเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ศึกษาต่อจนจบดุษฎีบัณฑิตด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยปารีส


เอาล่ะครับคราวนี้ทุกท่านคงพอจะรู้จักรู้จักท่านปรีดี พนมยงค์ หรือ หลวงประดิษฐมนูธรรมกันสักเล็กน้อยแล้ว (ถ้าหากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมสามารถหาหนังสืออ่านเพิ่มได้ครับ มีเยอะมากหรือตาม Website ต่างๆก็ได้ครับ ที่ยกมาก็นำมาจาก Wiki ครับ) ครามนี้เราจะมาดูแนวคิดของท่านกันนะครับว่าท่านมีแนวคิดในการ “เปลี่ยน” สังคมสยามเช่นไร

อุดมการณ์ ของท่านปรีดี พนมยงค์

เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ท่านปรีดี พนมยงค์และคณะราษฎร ได้ปฏิวัติประเทศในปี ๒๔๗๕ ผมคงจะไม่ขอกล่าวว่าที่ท่านทำผิดหรือถูก ควรหรือไม่ควร จะไม่ขอตำหนิท่าน ถึงแม้ว่าบางคน (รวมถึงตัวผมด้วยก็ตามที) อาจจะมีความคิดในหลายแง่มุม แต่นั่นไม่มีประโยชน์และผ่านมาแล้ว เราคงไม่สามารถแก้ไขมันได้...

ตัวผมได้มีโอกาสศึกษาประวัติศาสตร์ในเหตุการณ์ปฏิวัติ ๒๔๗๕ มาบ้างแต่ผมไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก แต่ผมได้สนใจในเรื่องความคิดของท่านปรีดีมากกว่า ทัศนะของท่านที่ต้องการเปลี่ยนประเทศจะมีลักษณะในรูปใด ซึ่งนั่เองผมคิดว่ามันคือรากฐานในการกระทำของท่านนั่นเอง และผมก็ได้พบบทความอยู่เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจมาก นั่นคือเรื่อง “อุดมการณ์สังคมนิยมประชาธิปไตย” ของท่านปรีดี พนมยงค์ ซึ่งอยู่ในหนังสือ “สัจจะแห่งประวัติศาสตร์ รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์” ของ
“สุพจน์ ด่านตระกูล” ในหน้า ๓๓ ถึง ๓๔ ซึ่งมีสาระดังนี้

อุดมการณ์สังคมนิยมประชาธิปไตยของ นายปรีดีพนมยงค์ ประกอบด้วยหลักการ ๓ ประการด้วยกัน คือ ปรัชญาสสารทางธรรมทางสังคมที่เป็นวิทยาศาสตร์สังคม สหกรณ์สังคมนิยม และประชาธิปไตยสมบูรณ์

นายปรีดี เป็นผู้ที่ยึดมั่นในปรัชญาสสารธรรมทางสังคมที่เป็นวิทยาศาสตร์สังคม ซึ่งมีทัศนะว่า สภาวะทาง สังคมเกิดขึ้น และมีอาการเคลื่อนไหวตามกฎธรรมชาติของมวลราษฎร ในข้อเขียนชื่อ “อนาคตของประเทศไทยควรดำเนินไปในรูปใด” (พ.ศ.๒๕๑๖) นายปรีดี ยืนยันว่า “ระบบเพื่อประโยชน์ของชนจำนวนน้อยจะคงอยู่ชั่วกัลป์ปาวสานไม่ได้ คือ อนาคตจะต้องเป็นของราษฎรซึ่งเป็นพลเมืองส่วนข้างมาก” ได้แก่ “ผู้ไร้สมบัติ ชาวนายากจน ผู้มีทุนน้อย รวมทั้งนายทุนที่รักชาติ ซึ่งมิได้คิดเอาแต่ประโยชน์ส่วนตัวหรือส่วนของวรรณะพวกตัวเป็นที่ตั้ง แล้วก็ต้องการระบบสังคมใหม่ที่จะช่วยความเป็นอยู่ของพลเมืองส่วนข้างมากให้ดีขึ้น คือ มีระบบการเมืองที่สอดคล้อง สมานกับพลังการผลิตทางเศรษฐกิจของสังคม เพื่อให้การเบียดเบียนหมดไปหรือลดน้อยลงไปมากที่สุดเท่าที่จะมากได้”

ในด้านการบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจนั้น นายปรีดีเห็นว่า ควรจัดให้มีสหกรณ์ขึ้นทำหน้าที่เป็นผู้ประกอบการเศรษฐกิจ เพื่อประโยชน์แก่มวลสมาชิก แนวความคิดดังกล่าวนี้ได้ปรากฏเป็นรูปธรรมอยู่ในหมวด ๘ แห่งร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติที่นายปรีดีได้เป็นผู้จัดทำขึ้น แต่เกิดอุปสรรคขัดขวางจึงไม่ได้นำมาใช้ แต่ออกมาเป็น พ.ร.บ.สหกรณ์

ในด้านประชาธิปไตยสมบูรณ์นั้น นายปรีดีมีความเชื่อมั่นอยู่ว่า “สังคมจะดำรงอยู่ได้ก็โดยมวลราษฎร ดังนั้นระบบของสังคมที่ทำให้มวลราษฎรมีพลังผลักดันให้สังคมก้าวหน้า ก็คือระบบประชาธิปไตย” นายปรีดีให้อรรถกถาธิบายด้วยว่า “รูปของสังคมใดๆนั้นย่อมประกอบด้วย ระบบเศรษฐกิจการเมือง ทัศนะสังคม ดังนั้นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์จึงต้องประกอบด้วย ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ประชาธิปไตยทางการเมือง ทัศนะสังคมที่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งเป็นหลักนำทางจิตใจ” รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับ ๙ พฤษภาคม ๒๔๘๙ เป็นตัวอย่างอันดีถึงความเพียรพยายามของนายปรีดี ในการสถาปนาระบบประชาธิปไตยสมบูรณ์ขึ้นในสังคมไทย เพราะมีบทบัญญัติให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกพฤฒสภา เป็นผู้ที่ได้รับเลือกตั้งจากราษฎร โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้บัญญัติให้ประชาชนมีสิทธิมนุษยชนอย่างสมบูรณ์ ดังปรากฏอยู่ในมาตรา ๑๓ ๑๔ และ ๑๕ ของรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว

สรุปแล้ว สังคมไทยในอุดมทัศน์ของนายปรีดี เป็นสังคมประชาธิปไตยสมบูรณ์ กล่าวคือ เป็นสังคมที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้รับการศึกษาอย่างเต็มที่ และมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาของเขาด้วยตัวของเขาเอง มีส่วนร่วมในการปกครองตนเอง โดยจัดให้มีสหกรณ์ ทำหน้าที่เป็นผู้ประกอบการทางเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์แก่มวลสมาชิก มีเทศบาลที่ได้รับเลือกจากราษฎรในท้องถิ่นเพื่อปกครองตนเอง สังคมเช่นนี้ย่อมเป็นสังคมที่ทุกคนมีงานทำ ปราศจากความอดอยาก มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และเป็นสังคมที่บุคคลสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

นี่คือบทหนึ่งของหนังสือดังกล่าวที่ผมยกมา ผมคิดว่า “อุดมการณ์สังคมนิยมประชาธิปไตย” ของท่านที่ได้ยกมานี้ ตามความคิดของผมนั้นถือได้ว่าเป็นความคิดแบบรวบยอดของท่านปรีดี ที่ประสงค์ต่อสังคมสยามในสมัยของท่าน และนั่นเองก็ได้เป็นแรงผลักดันให้เกิดการปฏิวัติขึ้นใน ๒๔๗๕ เป็นที่แน่นอนว่าหากไม่มีจุดมุ่งหมาย การกระทำย่อมไม่สามารถเกิดขึ้นได้

ทุกท่านยังจำได้หรือไม่ว่าผมเองได้เคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับแนวคิดเรื่อง “ยูโทเปีย” หรือ “สังคมในอุดมคติ” มาแล้ว (ดูได้จากบทความ “รัฐและสังคมอุดมคติ ? จากความจริงสู่ความฝัน”) ผมคิดว่าแนวความคิดของท่านปรีดีที่ได้ยกมาให้ทุกท่านเห็นนั้น มันก็คือ “ยูโทเปีย” ของท่านนั้นเองแหละครับ เป็นยูโทเปียที่วางอยู่บนความเป็นสยามประเทศ เป็นสิ่งที่ท่านปรีดีหวัง (และท่านก็ลงมือทำ) ให้เป็นต่อสังคมสยาม

วิเคราะห์ “อุดมการณ์สังคมนิยมประชาธิปไตย” ของท่านปรีดี

คราวนี้ผมจะมาวิเคราะห์กันละครับ ในเรื่อง “อุดมการณ์สังคมนิยมประชาธิปไตย” จากที่ได้ยกมาให้เห็นแล้วว่าท่านมีความเห็นอย่างไร เราสามารถสรุปได้ว่าท่านมีรากฐานทางความคิด ๓ ประการคือ

1.ปรัชญาสสารธรรมทางสังคมที่เป็นวิทยาศาสตร์สังคม
2.สหกรณ์สังคมนิยม
3.ประชาธิปไตยสมบูรณ์


นี่คือหลักการทั้งสามที่เป็นรากฐานทางความคิดของท่านปรีดี ซึ่งถ้าดูทั้งสามหลักการนั้นผมคิดว่าเป็นการผสมผสานหลักการที่เป็น “ประชาธิปไตย” และ “สังคมนิยม” เข้าด้วยกัน ผมคิดว่าแนวความคิดของท่านปรีดี มีส่วนคล้าคลึงกับของ จอห์น รอลส์ (John Rawls) ซึ่งผมได้เคยกล่าวไปแล้วในบทความเรื่อง “ความยุติธรรมที่แท้จริง” ซึ่งเป็นการผสมผสานแนวความคิดแบบ “ประชาธิปไตย” และ “สังคมนิยม” เข้าด้วยกัน

แล้วอะไรที่เป็นเครื่องชี้วัดว่าอุดมการณ์ของท่านปรีดี ส่วนไหนเป็นประชาธิปไตย และส่วนไหนเป็นสังคมนิยม เราจะมาดูกันเป็นข้อๆว่าหลักการข้อใดเป็นเช่นไร ดังนี้

1. ปรัชญาสสารธรรมทางสังคมที่เป็นวิทยาศาสตร์สังคม
ผมคิดว่าในหลักการข้อนี้ไม่ได้บ่งชี้ชัดเจนว่าเป็น “ประชาธิปไตย” หรือ “สังคมนิยม” มากเท่าใดนัก เพราะเป็นเพียงพื้นฐานในการมองความเป็นไปของสังคม ยังมิได้เป็นตัวบ่งชี้แต่อย่างใด หลักการนี้มองว่า แนวทางที่สังคมจะก้าวไปเป็นเช่นไร เหมือนกับเป็นสิ่งบ่งชี้ทิศทางความเป็นไปได้ของสังคมว่าจะเป็นอย่างไร แต่ก็มีนัยแอบแฝงถึงความเป็น “ประชาธิปไตย” และ “สังคมนิยม” อยู่ส่วนหนึ่งด้วยเช่นกัน โดยที่นัยที่แฝงถึง “ประชาธิปไตย” นั่นคือท่านมองว่า “อนาคตจะต้องเป็นของราษฎรซึ่งเป็นพลเมืองส่วนข้างมาก” นั่นก็คือเป็นเหมือนกับการบอกถึงระบบที่เป็นประชาธิปไตย ที่เน้นเสียงข้างมากของคนในสังคม มิใช่คนเพียงกลุ่มเดียว นั่นเองก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงอุดมการณ์แบบประชาธิปไตย และในส่วนของแนวคิดที่แฝงมาในแบบ “สังคมนิยม” นั่นก็คือที่มองว่าพลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศได้แก่ ผู้ไร้สมบัติ ชาวนายากจน ผู้มีทุนน้อย ตามความคิดของผมคิดว่าแนวความคิดนี้ท่านหวังจะให้คนในกลุ่มนี้มีชีวิตที่ดีขึ้น ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐ และมีสิทธิ์มีเสียงในสังคมเทียบเท่าชนนั้นอื่น ซึ่งผมคิดว่าเป็นนัยแฝงความคิดแบบสังคมนิยมที่เล็งเห็นถึงความไม่ยุติธรรมและแตกต่างในสังคม ซึ่งรัฐบาลสามารถที่จะปฏิบัติต่อปัจเจกบุคคลที่มีความเหมาะสมต่างกันนั้นอย่างต่างกันได้ อันเป็นพื้นฐานที่นำไปสู่หลักการข้อที่ ๒


2. สหกรณ์สังคมนิยม
ผมคงจะไม่ขอลงรายละเอียดถึงลักษณะของสหกรณ์สังคมนิยม แต่แค่อยากชี้ให้เห็นว่าแนวความคิดนี้ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์เช่นไรเพียงเท่านั้น (เพราะในเรื่องสหกรณ์สังคมนิยมนั้นถือได้ว่ามีรายละเอียดที่มากซึ่งอาจจะเสียเวลาในการกล่าวถึง)
ตามทัศนะในหลักการข้อนี้ผมมองว่าเป็นเป็นเหมือนกับการประยุกต์แนวคิดแบบ “สังคมนิยม” เข้ามาช่วยในกระบวนการทางสังคมเพื่อให้สังคมมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเป็นการช่วยเหลือคนส่วนมากของสยามประเทศนั่นคือพวก ผู้ไร้สมบัติ ชาวนายากจน ผู้มีทุนน้อย และยังรวมถึงพวกที่ไม่มีงานทำ ให้มีงานและรายได้อย่างเป็นธรรมแก่พลเมือง ลดการเอารัดเอาเปรียบของกลุ่มพ่อค้านายทุนที่มีผลต่อคนในกลุ่มนี้ และยังส่งผลถึงเสถียรภาพของประเทศในด้านการผลิตอีกด้วย


3. ประชาธิปไตยสมบูรณ์
ในหลักการข้อนี้ก็คงไม่ต้องกล่าวอะไรมาก ก็ตรงตามชื่อก็คือประชาธิปไตยสมบูรณ์ ซึ่งก็เป็นผลมาจากหลักการข้อที่ ๑ นั่นเอง ซึ่งมองว่า “สังคมจะดำรงอยู่ได้ก็โดยมวลราษฎร ดังนั้นระบบของสังคมที่ทำให้มวลราษฎรมีพลังผลักดันให้สังคมก้าวหน้า ก็คือระบบประชาธิปไตย” โดยที่ประชาชนจะต้องเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และเป็นตัวผลักดันประเทศ ซึ่งเปลี่ยนจากเพียงคนกลุ่มเดียว มาเป็นประชาชนทุกคนในชาติ ให้สิทธิเสรีภาพและอำนาจในการขับเคลื่อนประเทศอย่างเท่าเทียมกัน


นี่คือแนวคิดของท่านปรีดีในเรื่อง “อุดมการณ์สังคมนิยมประชาธิปไตย” ที่ท่านหวังให้สังคมสยามเป็นดังที่ท่านคิด ตามความคิดของผมนั้นถือได้ว่ายอดเยี่ยมมาก โดยเฉพาะการที่เอาประชาธิปไตยและสังคมนิยมมารวมกัน ผมคิดว่าคำตอบไม่ได้อยู่ที่ “เสรีนิยม” หรือ “อเสรีนิยม” หากแต่คำตอบต้องสามารถผสมผสานแนวคิดทั้งสองนั้นได้ หลักการและแนวคิดของท่านปรีดีนั้น เป็นการแก้ปัญหาที่ทั้ง “เสรีนิยม” และ “อเสรีนิยม” มีทั้งคู่ โดยการนำขั้วตรงข้ามมาเสริมและแก้ปัญหาซึ่งกันและกัน

แต่แนวคิดเรื่อง “อุดมการณ์สังคมนิยมประชาธิปไตย” ของท่านปรีดีก็ยังคงมีจุดบอดอยู่เช่นกัน
แต่ผมคิดว่านั่นเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นครับคือ การใช้คำเรียก “ประชาธิปไตยสมบูรณ์”
ผมคิดว่าปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาที่เล็กที่สุด เพราะถ้าว่ากันตามหลักการแล้วนั้นควรจะเรียกว่าเป็น “สังคมนิยมประชาธิปไตย” หรือ “ผสมผสานระหว่างสังคมนิยมกับประชาธิปไตย” (หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้องกับสังคมนิยมและประชาธิปไตย) การที่บอกว่าเป็น ประชาธิปไตยสมบูรณ์ คงจะไม่ได้เพราะแนวความคิดของท่านปรีดี ยังคงมีแนวความคิดแบบสังคมนิยมผสมอยู่ด้วย (ดูในหลักการข้อที่ ๑ และ ๒) ดังนั้นการจะบอกว่าเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ซึ่งนั่นมีความหมายอย่างหนึ่งว่าทั้งกระบวนการทั้งหมดเป็นประชาธิปไตย นั่นก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน วิธีการแก้ไม่ยากอะไร แค่เปลี่ยนคำให้เหมาะสมเท่านั้น (จาก “อุดมการณ์สังคมนิยมประชาธิปไตย” ไปเป็น “ประชาธิปไตยสมบูรณ์” พิจารณาดูแล้วมันขัดแย้งในตัวของมันเอง) และอีกปัญหาหนึ่งก็คือ “เรื่องการยอมรับ” ผมคิดว่าปัญหานี้คล้ายกับ ทฤษฏีเรื่องความยุติธรรมของ จอห์น รอลส์ (John Rawls) ที่เป็นการผสมผสานกันระหว่าง “เสรีนิยม” และ “สังคมนิยม” ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่าทฤษฎีของ รอลส์ ได้ถูกต่อต้านจากทั้งสองขั้ว ทั้ง “เสรีนิยม” และ “สังคมนิยม” แนวคิดของท่านปรีดีเองก็น่าจะประสบปัญหาแบบนั้นด้วย แต่ปัญหาข้อนี้ไม่ได้เหมือนในปัญหาแรก เพราะปัญหาแรกเป็นปัญหาภายในตัวทฤษฎีของท่านเอง แต่ปัญหาหลังนี้เป็นปัญหาภายนอก คือจะมีคนยอมรับหรือคัดค้านหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคนอื่นว่าเขามีมุมมองแบบใด ระหว่าง “เสรีนิยม” และ “สังคมนิยม” หรือสามารถยืดหยุ่นได้หรือไม่


มุมมองจากปัจจุบันสู่อดีต ความจริงที่เกิดขึ้น

หลังจากเราได้ทำความเข้าใจในแนวคิดและหลักปรัชญาของท่านปรีดีไปแล้ว รวมถึงสิ่งที่เป็นจุดบอดของแนวคิด แต่ผมคิดว่ามีไม่มากเท่าไหร่ เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ฉะนั้นแล้วผมจะขอกล่าวในมุมมองของคนไทยในปัจจุบัน มองย้อนไปยังสยามตอนปฏิวัติบ้างละครับ

เรามองเห็นอะไร...ผมมองเห็นว่าปรัชญาน่ะดีแล้วครับ เต็ม 10 ให้ 9.99 เลย แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้นครับ แล้วในทางปฏิบัติจริงล่ะ เต็ม 10 ผมคงให้ติดลบครับด้วยหลายๆเหตุผลครับ ขอยกตัวอย่างดังนี้ครับ

1. การไม่ได้เตรียม “คน” ให้พร้อมกับระบบการเมืองและสังคมใหม่
ตามความคิดนี้ผมคิดว่าเป็นปัญหาใหญ่มาก ของสยามปี ๒๔๗๕ เลยทีเดียว คนสักกี่คนในประเทศจะทราบหรือไม่ว่า อะไรคือประชาธิปไตย (ซึ่งบางคนยังไม่รู้ว่าเป็นคน สัตว์ หรือสิ่งของ) ในปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ของระบบการปกครองทุกระบบเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะประชาธิปไตยซึ่งถือว่าเป็น “ของใหม่” สำหรับชาวสยามในสมัยนั้น จนใหม่เกินไป เพราะเดิมเราเคยชินแต่ระบอบ “สมบูรณาญาสิทธิราชย์” (ถ้าเขียนผิดต้องขออภัยอย่างสูง) ซึ่งนั่นเองทำให้เกิดช่องโหว่เป็นอย่างมาก เช่น ช่องโหว่ในเรื่องความรู้ นำไปสู่ช่องโหว่ในเรื่องของสิทธิเสรีภาพ และกฎหมาย เป็นช่องให้เกิดการทุจริต เอารัดเอาเปรียบ เป็นต้น ปัญหานี้สามารถสรุปรวบยอดได้อย่างเดียวคือ “ความรู้ของประชาชนที่ยังมีน้อย” ถ้าหากมีเวลา “เตรียมคน” ให้พร้อมมากกว่านี้น่าจะเป็นทางที่ดีกว่า นี่อาจจะเป็นความผิดพลาดของท่านปรีดี และคณะ หากประชาชนในชาติมีความรู้เทียบเท่าท่านปรีดีได้สักครึ่ง (หรือครึ่งของครึ่งก็ได้) คงจะไม่เกิดปัญหาแบบนี้แน่นอน (ซึ่งปัญหาข้อนี้ในปัจจุบันก็ยังคงเป็นช่องโหว่และกระทบมาถึงจวบจนปัจจุบันก็แก้ไม่ได้ ซึ่งก็คือปัญหาแบบประชาธิปไตยแบบไทยๆเรานั่นเอง)


2. การช่วงชิงอำนาจของ “เก่า” และ “ใหม่” ประชาชนรับกรรม
ที่ผมกล่าวเช่นนี้เพราะว่าเมื่อมีการปฏิวัติ เกิดการเปลี่ยนแปลงย่อมต้องมีผู้สูญเสียอำนาจไป ซึ่งหมายถึง "ผลประโยชน์” นั่นเองก็ทำให้เกิดชนวนในการทำสงครามระหว่างคนที่ต้องการมีอำนาจ และแสวงหาผลประโยชน์ และยิ่งเป็นการปฏิวัติเปลี่ยนระบบ โดยที่เป็นระบบใหม่โดยที่ผู้คนยังไม่คุ้นชิน (ประมาณทั้งประเทศมึนตึบ) นั่นก็ยิ่งเป็นช่องว่าให้กับคนที่อยากจะมีอำนาจใช้ประชาชนผู้ไม่รู้หลักการและแนวทางปฏิบัติเป็นเครื่องมือเพื่อหาผลประโยชน์ รวมถึงผู้ที่มีอำนาจอยู่ในมือก็ทำเช่นกัน เพื่อปกป้องอำนาจและผลประโยชน์ของตน ใครรับกรรม...ประชาชนผู้มึนตึบ (และเรื่องนี้ก็เป็นปัญหาสืบมาจนถึงปัจจุบัน...)


3. การร่างกฎระเบียบและกติกาที่มีปัญหา
ปัญหานี้มันสืบเนื่องมาจากข้อที่ 1 และ 2 นั่นละครับ เมื่อประชาชนส่วนใหญ่ขาดความรู้ความเข้าใจในตัวระบบกติกา การร่างกฎกติกาที่ออกมาจึงมีปัญหาตามมาด้วย และอาจจะรวมถึงความโง่และการตีความแบบศรีธนนชัยอีก อะไรที่ดีๆก็พลอยมั่วไปกับเขาอีก ท่านคิดว่าประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญกี่ฉบับแล้วครับ เยอะครับ! เยอะจนนับไม่ไหว และแม้จะเยอะก็ตาม รัฐแจกให้อ่าน แล้วอ่านกันไหมครับ ? (รวมถึงตัวผมด้วยนั่นแหละ)

4. อำนาจเปลี่ยนมือ “ไพร่” ครองเมือง
ที่ใช้คำว่า “ไพร่” ไมใช่ต้องการดูถูกเหยียดหยามใคร แต่ในความหมายที่อยากจะใช้คือ “พวกที่ไม่ควรได้อำนาจอยู่ในมือ” หรือ “พวกชั่วนั่นเอง” ปัญหานี้มันสืบเนื่องมาจากทั้งข้อ 1, 2 และ 3 นั่นแหละครับ เมื่อคนในประเทศไม่รู้ บันไดสู่อำนาจอยู่ตรงหน้า การก้าวขึ้นก็ไม่ยาก แค่มีเงินก็มีอำนาจได้ เพราะคนประเทศนี้ไม่รู้มากกว่ารู้ การช่วงชิงอำนาจก็เกิด แต่ใครมีเงินมากกว่าก็ได้ไป แล้วไหนจะยังกฎกติกา ที่ช่องโหว่เพียบอีก เสร็จ “ไพร่” ครับ (คำว่า “ไพร่” เอามาจากหนังสือ “ดีแต่เกิด” ของซูโม่ตู้ครับ...แรงดี)

นี่คงเป็นแค่คร่าวๆนะครับ ถ้าให้ต้องยกมาถล่มกันคงเขียนกันตาย หรืออาจจะไม่อยากเขียนเลยสักตัวอักษรเดียว


คุยกันอีกนิด...

เอาล่ะครับวันนี้ก็หมดมุขแล้ว แต่ที่ผมวิจารณ์ในหัวเรื่อง “มุมมองจากปัจจุบันสู่อดีต ความจริงที่เกิดขึ้น” ตรงนี้อย่าไปใส่ใจมันเลยครับ ที่ผมต้องการก็คือผมอยากจะให้ทุกท่านได้รู้แนวความคิด ของท่านปรีดี พนมยงค์ หรือ หลวงประดิษฐมนูธรรม (ที่ไม่ใช่หลวงประดิษฐไพเราะ) กันมากกว่าที่จะมากล่าวถึง “ผล” ของการปฏิบัติที่ตามมา (ซึ่งอาจจะวิจารณ์มากไปหน่อย ต้องขออภัยด้วย) เพราะมันผ่านไปแล้วครับ มันผ่านไปแล้ว อดีตมันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วครับ สิ่งสำคัญคือเราจะทำยังไงถึงจะอยู่จากมันได้ต่างหาก และจะทำอย่างไรให้มันดีขึ้นกว่าก่อน ถือเป็นการบ้านก่อนนอนนะครับ แม้พระอาทิตย์ยังส่องอยู่แต่ผมก็ไม่ไหวแล้วครับ... ขอหลับสักงีบก่อนนะครับ...
..........ราตรีสวัสดิ์..........


“ความดีที่แท้จริงอยู่ที่ใจของคน”

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ความยุติธรรม กับ ชาวสยาม(ยุค 2552)


ร่วมด้วยช่วยกัน...โดยชาวสยาม(ยุค 2552)

ณ เช้าวันหนึ่งที่บ้านหลังหนึ่งแถบชาญเมืองมี "บางสิ่ง" กำลังกดกริ่งเรียกเจ้าของบ้านแล้วเจ้าของบ้านก็ได้เดินออกมา ในสภาพที่ครึ่งหลับครึ่งตื่น แล้วบทสนทนาของทั้งสองก็เริ่มขึ้น...

หวัดดี นายเป็นใคร มาหาเรามีธุระอะไร ?

เราคือ "ความยุติธรรม" ไง จำไม่ได้เหรอ

เฮ้ย เราเคยเจอกันมาแล้วเหรอ !

แน่สิ ตั้งแต่นายเกิดนั่นแหละ

เอ้าจริงดิ

แน่นอน เรารู้จักทุกคนแหละ

อา...แต่ทำไมเราไม่รู้จักนายเลยละ

เพราะเกือบทุกคนไม่อยากรู้จักเรานะสิ

ทำไมละ การผูกมิตรเป็นเรื่องที่ดีนี่นา

ก็นั่นน่ะสิ ทำไมก็ไม่รู้

แล้วคนที่รู้จักนายเนี่ยมีกี่คนเหรอ

น้อยมากเลยหละ...บางคนก็ตายไปเมื่อนานมาแล้ว...บ้างก็กำลังจะตาย...เฮ้อน่าเศร้า !
แต่ด้วยเหตุนี้แหละนะคือธุระของเรา

แล้วนายมีธุระอะไรเหรอ ? ถึงมาหาแต่เช้า

ก็นั่นแหละคนที่เค้ารู้จักฉันเค้าเป็นเพื่อนฉันเอง เค้ากำลังแย่เลยล่ะ นายช่วยเหลือเราด้วยได้ไหม ช่วยเพื่อนของฉัน

แล้วจะให้ช่วยยังไงล่ะ ?

ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นนายคงช่วยเราได้แน่ เรายังไม่ได้คิดเลย ว่าจะช่วยเค้าอย่างไร แต่ไม่สำคัญว่าจะทำอย่างไร แต่เราต้องการคนที่จะอยู่ข้างพวกเรา

แล้วเพื่อนนายเป็นใครหล่ะ ?

เพื่อนเราชื่อ "คนดี" นายรู้จักเค้าไหม เค้าเป็นคนที่ดีและน่าเคารพมากนะ

เราไม่รู้จักอ่ะ

งั้นเหรอ แล้วนายตกลงจะช่วยเพื่อนเราหรือเปล่า ?

เอาไว้ก่อนนะ พอดีว่าเมื่อคืนนอนดึก สังสรรค์กับเพื่อนอยู่ เช้านี้เราเลย Hank น่ะ ขอกลับไปนอนต่อก่านดีกว่า แม่งจะออกมาทางปากแล้ว แล้วงานก็ยังไม่เสร็จเลย ต้องสะสางอีกนาน
เราคิดว่าไปที่อื่นเหอะ ถ้าไม่มีใครช่วย ก็เดินต่อไปเรื่อยๆเถอะนะ อย่าให้เรามาช่วยเลย พอดีเรายุ่งน่ะ
เอาล่ะขอตัวก่อนนะ

...


แล้วเจ้าของบ้านก็เดินกลับเข้าไปพร้อมกับปิดประตู...และต่อมาเพื่อนของ "ความยุติธรรม" ก็ได้ตายไป จากดินแดนแห่งนี้...


(ปล.อย่าลืมอ่านบทความก่อนหน้านี้ด้วยนะครับทั้งอาจารย์แรกและเหล่าผองเพื่อนทั้งหลาย บทความนี้แค่เขียนสนุกๆเท่านั้นแหละครับ)

วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552

“ความยุติธรรมที่แท้จริง”


(ร่วมด้วยช่วยกัน...จากคนโง่ผู้รักในความยุติธรรม)

สวัสดีอีกครั้งนะครับคราวนี้ก็ได้กลับมาเจอกันอีกแล้ว ถ้าเบื่อก็คงต้องทนแหละครับ ทนว่าลุงจะมาพูดอะไรอีก อย่าเพิ่งเบื่อเลยครับ งานครับงาน ครั้งนี้ก็เช่นเคยนะครับ มีเรื่องปวดหัวมาให้คิดอีกแล้ว คราวนี้ผมจะมาพูดเรื่อง “ความยุติธรรม” ครับ เป็นไงล่ะ น่าปวดหัวอีกแล้ว แต่ช่างเหอะครับนี่ก็ถือเป็นหน้าที่อีกอย่างนั่นแล งานนี้ตึบนะครับ ก็เข้าใจอยู่นะครับว่าไอ้ความยุติธรรมเนี่ยมันดีอย่างไรและในเชิงทฤษฏีเนี่ยเขาว่ากันอย่างไร แต่ว่าเอาเข้าจริงตามความคิดของตัวเองมันลำบากเหลือเกินครับ ยิ่งเป็นชาวสยามยุค IT + ตอหลด + เงิน = ยุคนี้แหละครับ ใครพูดเรื่องความยุติธรรมเนี่ย เชื่อได้ไหมเนี่ย เฮ้อจะแดงเอย เหลืองเอย ทหารเอย ตำรวจเอย (ไม่ได้ตั้งใจว่าอาจารย์นะครับหมายถึงพวกตำรวจเลวนะครับ ฟันธงได้เลยไม่ใช่อาจารย์แน่) และโดยเฉพาะนักการเมืองสยาม โอ้วสุดยอด เอาล่ะครับก่อนที่จะนอกเรื่องไปมากกว่านี้ เรามาเข้าเนื้อหากันเลยดีกว่านะครับ

หลังจากที่เราได้เรียนรู้กันมาแล้วนะครับว่าปรัชญาการเมืองโดยเฉพาะของทางตะวันตกนั้นมีทัศนะอย่างไรคงไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียดให้มากอีก แต่จะขอสรุปว่าได้มีแนวคิดที่เป็นหลักๆอยู่ 3 กลุ่มที่ว่าด้วยเรื่องความยุติธรรม ดังนี้
1. กลุ่มที่มีทัศนะว่า ปัญหาเรื่องความยุติธรรมเกี่ยวโยงไปถึงเรื่องสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล ความยุติธรรมคือการที่ปัจเจกบุคคลได้รับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งแนวความคิดในกลุ่มนี้คือแนวคิดแบบเสรีนิยม
2. กลุ่มที่มีทัศนะว่า ปัญหาเรื่องความยุติธรรมเป็นปัญหาหลัก ส่วนปัญหาเรื่องสิทธิและเสรีภาพเป็นปัญหารอง ความยุติธรรมสามารถมีได้แม้จะมีการละเมิดสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล ความยุติธรรมในทัศนะของนักปรัชญากลุ่มนี้ไม่ใช่การที่ปัจเจกบุคคลแต่ละคนได้รับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพอย่างเท่าเทียมกัน หากแต่คือการที่ปัจเจกบุคคลแต่ละคนได้รับการปฏิบัติจากรัฐตามความเหมาะสม โดยที่ความเหมาะสมนี้คนแต่ละคนอาจมีไม่เหมือนกัน เมื่อไม่เหมือนกัน คนสองคนที่มีความเหมาะสมต่างกันย่อมได้รับการปฏิบัติต่างกัน การได้รับการปฏิบัติต่างกันนี้คือ “ความยุติธรรม” ซึ่งแนวความคิดในกลุ่มนี้คือแนวคิดแบบสังคมนิยม
3. กลุ่มที่สาม เป็นกลุ่มที่มีทัศนะว่า สองกลุ่มข้างต้นต่างมีความเห็นสุดขั้วด้วยกันทั้งคู่ กลุ่มนี้จึงพยายามประสานสองแนวความคิดข้างต้นเข้าด้วยกัน กล่าวคือ ยอมรับว่าปัจเจกบุคคลต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพอย่างเท่าเทียมกัน แต่ในขณะเดียวกันก็ยอมรับว่า รัฐบาลสามารถที่จะปฏิบัติต่อปัจเจกบุคคลที่มีความเหมาะสมต่างกันนั้นอย่างต่างกันได้ ความยุติธรรมในทัศนะของนักปรัชญากลุ่มนี้คือ การกระทำที่สอดคล้องกับหลักการสองประการที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งแนวความคิดในกลุ่มนี้คือแนวคิดของ จอห์น รอลส์ (John Rawls)


เราคงจะพอเห็นภาพกันแล้วว่าทัศนะในเรื่อง “ความยุติธรรม” ของแต่ละแนวความคิดเป็นอย่างไร
แต่นั่นก็ไม่ได้ชี้ว่า “ความยุติธรรม” คืออะไร นี่ไมใช่ปัญหาที่จะตอบได้ง่ายๆ เพราะทุกคนก็มีแนวคิดที่ต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นตัวผมตัวท่าน หรือทุกคนบนโลกก็ตาม การจะหาคำตอบก็คงเป็นเรื่องยาก แต่ที่แน่นอนว่าคนเกือบทุกคนนั้นคิดเหมือนกันก็คือ เมื่อคนอยู่ในสังคมที่ถูกกดขี่ข่มเหงและเอารัดเอาเปรียบ สิ่งที่จะคิดตามมาก็คือเรื่อง “ความยุติธรรม” ตัวผมเองนั้นได้เคยศึกษาในเรื่องความยุติธรรมนี้มาก่อน ในรายวิชาที่เคยเรียนเมื่อตอนอยู่ ปี 2 แต่ในที่สุดก็ยังหาคำนิยามที่แน่นอนไม่ได้เช่นกัน เพราะนักคิดนักเขียนแต่ละคนให้คุณค่าและคำนิยามแก่ “ความยุติธรรม” นั้นแตกต่างกันไป เช่นเดียวกับแนวคิดเรื่องความยุติธรรมในมุมมองของทัศนะทั้งสามที่ยกมาข้างต้น


แล้วไอ้ความยุติธรรมที่เข้าใจยากนี้มาจากไหน คงจะตอบได้ว่ามาจากการที่มนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นสังคม หากไม่มีสังคมหรืออยู่ร่วมกันก็คงจะไม่มีเรื่อง “ความยุติธรรม” ซึ่งลักษณะก็คล้ายๆกับแนวคิดเรื่องสัญญาประชาคมของฮอบส์ หากมนุษย์มีอยู่คนเดียวบนโลกก็คงไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องสัญญาประชาคมเพราะว่าไม่มีมนุษย์คนอื่นแล้วและความยุติธรรมก็ไม่มีความจำเป็นด้วย

แต่ที่สำคัญก็คือเราไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลก คนทุกคนล้วนแต่มีปฏิสัมพันธ์กันทั้งสิ้น ไม่มีใครที่จะไม่ได้สังกัดอยู่ในสังคมใดเลย ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่ในเมืองหรือในชนบทก็ตาม ดังนั้นเมื่อทุกคนมีปฏิสัมพันธ์กัน สิ่งที่ตามมาก็คือความเหลื่อมล้ำกันของชนชั้นและตัวปัจเจกบุคคล ดังนั้น แนวคิดเรื่อง “ความยุติธรรม” จึงเกิดขึ้นมา แล้วความยุติธรรมคืออะไร !!!!!!!!!!! กลับมาที่ปัญหานี้อีกแล้ว
เพราะไม่มีใครให้ความหมายที่แน่นอนได้



ความยุติธรรมในทัศนะของผู้เขียน

ตามทัศนะของผมนั้นผมมองว่า “ความยุติธรรม” นั้นมีอยู่ 2 ระดับด้วยกันนั่นคือ
1. ความยุติธรรมที่ถือเป็นกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติที่มีอยู่เองตามธรรมชาติ เช่น กฎไตรลักษณ์ ที่ว่าด้วยความเปลี่ยนของสรรพสิ่งไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ และสิ่งของก็ตาม หรือกฎแห่งกรรมที่ว่าด้วยการกระทำและผลของการกระทำที่ตามมา เป็นต้น
2. ความยุติธรรมที่ถือเป็นกฎเกณฑ์หรือกติกาที่คนในสังคมอยู่ร่วมกันร่างขึ้นมา (ซึ่งคล้ายกับสัญญาประชาคม) โดยจะออกมาในรูปแบบของ จารีต ประเพณี จนถึง กระบวนการที่เป็นกฎหมาย

ตามทัศนะของผม ผมมองว่าการที่เราไม่สามารถหาข้อยุติได้ว่า “ความยุติธรรมคืออะไร” นั่นอาจจะมาจากการที่เรามองความยุติธรรมแค่ในระดับเบื้องต้นที่เป็นเพียงแค่การตกลงกันระหว่าง “คนกับคน” เท่านั้น ตามความคิดของผมคือมองในระดับที่ 2 ที่มองว่าเป็นกฎเกณฑ์หรือกติกาที่คนในสังคมอยู่ร่วมกันร่างขึ้นมา ซึ่งนั่นจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องคำนิยามของความยุติธรรมที่ต่างกันไม่รู้จบ แต่ถ้าตัดทัศนะที่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวออกไปแล้วใช้เฉพาะเหตุและผล ก็สามารถที่จะหาแนวความคิดเรื่อง “ความยุติธรรมที่เป็นสากลสำหรับมนุษย์ทุกคน” ได้ แต่นั่นก็เป็นเรื่องยาก และมีหลายเหตุผลที่ไม่สามารถที่จะไปถึงจุดได้นั้น ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว สภาพทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน สภาพทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีความแตกต่างกัน เป็นต้น

การที่ผมได้ยกหลักธรรมทางพุทธศาสนามานั้นมิได้มีความต้องการที่จะอวดอ้างหรือยกว่า “พุทธศาสนา” นั้นอยู่สูงกว่าทัศนะของปรัชญาและศาสนาอื่นๆ แต่ที่สำคัญที่ต้องการจะบอกก็คือ ตามทัศนะของผมนั้น “ความยุติธรรมที่แท้จริง” นั้นเป็นไปได้ เพราะ “ธรรมชาติ” นั้นก็มีตัว “กฎธรรมชาติ” ที่คอยควบคุมอยู่และเป็นไปอย่างสม่ำเสมอและยุติธรรมต่อทุกสิ่งในธรรมชาติ และที่สำคัญคือ “มนุษย์” เองก็เป็นส่วนหนึ่งในธรรมชาติด้วยเช่นกัน หากศึกษาและเข้าใจใน “กฎธรรมชาติ” นั่นเองก็จะทำให้มนุษย์สามารถใช้ชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติได้ หากเราใช้หลักเหตุผลจริงๆโดยมองว่าธรรมชาติของมนุษย์ และธรรมชาติโดยรวมได้นั้นเราก็จะสามารถเข้าใจถึงเรื่อง “ความยุติธรรมที่แท้จริง” ได้

หรืออาจจะสรุปได้ว่าตามทัศนะของผมนั้นผมมองว่า “ความยุติธรรม” นั้นมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “มนุษย์” ซึ่งเป็นผู้วางกฎเกณฑ์และให้คำนิยามต่างๆ แต่ “ความยุติธรรม” นั้นจะต้องเป็นส่วนหนึ่งหรือขึ้นอยู่กับ“ธรรมชาติ” และ “กฎธรรมชาติ” ไม่ใช่เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ดังที่โสเครตีสได้เคยวางรากฐานไว้ (คือต่อต้านแนวความคิดของพวกโซฟิสต์) หรืออย่างที่พระพุทธเจ้าได้นำกฎของธรรมชาติมาสอนสั่ง ที่มิใช่สิ่งที่ทรงสร้างขึ้นมาเองแต่อย่างใด นั่นเองแหละครับที่ผมคิดว่าคือเนื้อหาสาระของ “ความยุติธรรมที่แท้จริง”

คุยก่อนลา

คราวนี้ก็จบไปอีกหัวข้อหนึ่งแล้ว และถ้าหากมีเวลาก็หวังว่าครั้งหน้าจะมาเขียนเกี่ยวกับเรื่องความยุติธรรมนี้อีกครั้งแต่คงต้องรอสักพัก (ไม่แน่ว่าใหญ่หรือเล็กนะ) โดยที่อยากจะเขียนในหัวเรื่องของความยุติธรรมกับสังคมไทยบ้าง แต่คราวนี้คงต้องขอพอแค่นี้ก่อนเพราะว่ายังติดงานวิชาอื่นอยู่อีกพอสมควรเลย เอาเป็นว่าครั้งนี้ก็เขียนได้สั้นกว่าทุกครั้งเอาเฉพาะเนื้อๆเลยนะเนี่ย หากมีเวลาคงได้พบกันเร็วๆนี้แน่นอน แต่...แต่...แต่...แต่...แต่...แต่...ยังไม่จบครับ คราวนี้ผมจะขอยกคำของท่านพุทธทาสภิกขุมาเตือนใจทุกท่านสักหน่อยนะครับ ซึ่งสอนเรื่อง “ความยุติธรรม” ได้ดีทีเดียว แล้วก็ขอลาไปเลยนะครับ ...Bye...


จาก ธรรมโฆษณ์ ชุด ธรรมบรรรยายระดับมหาวิทยาลัย น.๑๗๔-๑๗๖

ความยุติธรรม หรือความเป็นธรรม ในโลกนี้อำนาจอาจจะเป็นยุติธรรม หรือเป็นธรรม ขึ้นมาเมื่อไรก็ได้, หรือว่าตัวประโยชน์นั่นแหละ อาจจะเป็นความยุติธรรมขึ้นมาเมื่อไรก็ได้, หรือว่าวัตถุพยาน เท่าที่เขาจะหามาได้เท่านั้น ที่จะให้เป็นเหตุผลแก่ความยุติธรรม. ทีนี้ถ้าพยานมันเท็จ หรือมันไม่อาจจะรู้ได้ว่า พยานเท็จแล้ว ความยุติธรรมนั้นมันก็หลอกทั้งที่ไม่รู้

เพราะฉะนั้นความยุติธรรมที่แท้จริงนั้นจึงหาไม่ได้ ถ้าไม่เกี่ยวกับธรรมะ ถ้ามันเป็นโลกแล้ว มันก็เป็นความยุติธรรมไปตามแบบของโลก ความยุติธรรมอย่างโลก ๆ เป็นเรื่องด้านนอกเสมอไป แต่ถ้าธรรมะแล้วมันไม่เข้าใครออกใครเด็ดขาดโดยประการทั้งปวง เช่น กฎแห่งกรรมก็ดี กฎแห่งความไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตาก็ดี เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ทางให้ถึงความดับทุกข์ก็ดี เหล่านี้มันเป็นสิ่งที่เด็ดขาดและยุติธรรมอย่างยิ่ง ไม่เห็นแก่หน้าใคร ไม่มีผู้ได้สิทธิพิเศษหรืออะไรทำนองนั้น มันเป็นธรรมชาติที่มีอำนาจเด็ดขาดตายตัว

วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

รัฐและสังคมอุดมคติ ? จากความจริงสู่ความฝัน (หรือเปล่า)


(ร่วมด้วยช่วยกัน...จากคนเบื่อโลก)

สวัสดีอีกครั้งนะครับชาวสยาม (และอาจจะไม่ใช่ชาวสยามด้วย) ครั้งนี้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ทุกท่านยังสบายดีกันไหมครับ เป็นห่วง ฝนตกบ้าง แดดออกบ้าง บางทีทั้งแดดทั้งฝนมาพร้อมกันซะงั้น ! ดูแลรักษาตัวด้วยนะครับด้วยความเป็นห่วง เอาละทักทายนิดหน่อยแต่พองามต่อจากนี้ก็จะขอนำเข้าสู่เนื้อหากันเลยนะครับ คราวนี้ผมจะมาเสนอในหัวเรื่องของ “สังคมในอุดมคติ” กันนะครับ ทุกท่านครับผมขอตั้งคำถามว่า ทุกท่านมี “ความฝัน” หรือไม่ครับ โดยเฉพาะเรื่องที่เราแทบจะบอกไม่ได้เลยหรือเชื่อได้เลยว่า “เป็นไปไม่ได้” ผมเชื่อว่าในคำถามนี้ทุกคนคงมีคำตอบอยู่ในใจเป็นแน่ครับ แต่นี่เป็นคำถามกว้างๆครับ เอาละผมจะลงลายละเอียดของคำถามให้เจาะจงมากขึ้นนะครับ เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นอยู่ในสังคมก็คือ “ทุกท่านมีความฝันเรื่องสังคมที่เป็นอุดมคติหรือไม่ครับ ?” ผมเชื่อว่ากว่า ร้อยละ 90 ต้องตอบว่ามีแน่ๆครับ ผมคิดว่าทุกคนต้องเคยคิดเรื่องเกี่ยวกับสังคมในอุดมคติมาบ้างแหละครับ แต่จะแสดงออกมา (เหมือนเช่น เพลโต อริสโตเติล มาร์ก เป็นต้น) และจัดระเบียบความคิดของตนออกมาได้หรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ทุกคนต้องผ่านประสบการณ์ตรงนี้มาบ้างแหละครับ ด้วยปัญหาที่ยกมานี้ผมคาดการณ์ว่าสาเหตุที่เป็นแรงผลักดันให้ทุกคนตั้งคำถามดังกล่าวนั้นก็เนื่องมาจากความคิดที่ว่า “เราพอใจในชีวิตความเป็นอยู่ของเราหรือไม่?” และก็มีหลายคนที่คิดไกลไปอีกว่า “เราพอใจในชีวิตความเป็นอยู่ของเพื่อนร่วมโลกของเราหรือไม่?” ผมคิดว่าทุกคนต้องเคยถามตัวเองบ้างละ (โดยเฉพาะพวกเราชาวสยามซึ่งอยู่ในสังคมนี้) แต่อาจจะมีบางท่านที่อาจจะ “พอใจ” กับชีวิตความเป็นอยู่เช่นนี้อยู่แล้วก็ไม่เป็นไรครับ นั่นเป็นสิทธิส่วนบุคคลของคนกลุ่มนั้น แต่ถ้าเป็นตามทัศนะของผมเองผมคงจะตอบอย่างแน่นอนเป็นที่สุดว่า “ไม่พอใจอย่างแรง!”

เอาละครับเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาที่จะต้องมาย้อนอดีตกันไปมาอีก ผมได้เคยเสนอไปก่อนแล้วนะครับว่าทัศนะทางการเมืองและสังคมนั้นได้ถูกแบ่งออกเป็นกระแสหลักๆอยู่สองสายด้วยกันนะครับนั่นก็คือ กลุ่มแรก กลุ่มที่ถือว่าสังคมการเมืองไม่ว่าจะเรียกว่ารัฐ ประเทศ หรืออะไรก็ตามที่เป็นที่รวมของปัจเจกบุคคล คนแต่ละคนที่มารวมกันอยู่นี้ต่างมีผลประโยชน์ที่จะต้องปกป้อง การอยู่รวมกันเป็นสังคมการเมืองในทัศนะของนักปรัชญากลุ่มนี้เปรียบเสมือนการทำสัญญา หรือกติกาที่ทุกคนร่วมกันสร้างขึ้น เป็นข้อตกลงร่วมที่ทุกฝ่ายทุกฝ่ายเห็นพ้องว่าอำนวยผลประโยชน์ให้ตนมากที่สุดหรือเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของตนให้ได้มากที่สุด กลุ่มที่สอง คือกลุ่มที่มองว่าสังคมการเมืองไม่ใช่ที่รวมของปัจเจกชนที่มีผลประโยชน์ส่วนตนอันจะต้องปกป้องรักษา แม้รัฐหรือประเทศจะประกอบด้วยปัจเจกมากมาย แต่ปัจเจกนั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของประเทศ ส่วนย่อยนี้ไม่มีความสำคัญเท่าส่วนรวม ประเทศสำคัญกว่าปัจเจกบุคคล ผลประโยชน์ของชาติต้องมาก่อนผลประโยชน์ของปัจเจก ส่วนเนื้อหาปลีกย่อยนั้นจะไม่ขอกล่าวถึงนะครับ แต่ที่สำคัญก็คือว่า ทั้งสองแนวความคิดนี้ ต่างฝ่ายต่างก็มีแนวความคิดของรัฐหรือสังคมในอุดมคติเหมือนกันครับ (แต่ว่ารูปแบบของรัฐและสังคมนั้นมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงครับ) ในทัศนะเรื่องรัฐในอุดมคตินั้นหากจะกล่าวไปก็เป็นเรื่องที่มีต้นกำเนิดมายาวนานมากถ้านับตามประวัติศาสตร์นั้นก็ตั้งแต่สมัยกรีกโบราณนะครับ คนที่นำยูโทเปียหรือรัฐในอุดมคติให้เห็นอย่างเป็นรูปเป็นร่างนั้นก็คือ เพลโต ผ่านงานเขียนเรื่อง อุดมรัฐ แต่ถ้าตามทัศนะของผมนั้นผมมองว่าในเรื่องรัฐในอุดมคตินั้นน่าจะเริ่มมาจากยุคก่อนเพลโตเสียอีก เช่น ปิทากอรัส เฮราคลิตุส และโสเครตีสเป็นต้น เอาละครับต่อจากนี้เรามาทำความเข้าใจในคำว่า “ยูโทเปีย” (Utopia) กันก่อนนะครับ

ยูโทเปีย ถูกนิยามความหมายจากพจนานุกรม Webster เอาไว้ดังนี้
1. ยูโทเปีย หมายถึง สถานที่แห่งความสมบูรณ์ในเชิงอุดมคติ และ
2. เป็นแบบแผนในจินตนาการสำหรับสังคมที่สมบูรณ์แบบสังคมหนึ่ง

Utopia มาจากคำในภาษากรีก eu-topia ซึ่งหมายถึง Good Place(สถานที่ที่ดี) และเสียงของคำนี้ยังพ้องกับคำ ou-topia ซึ่งหมายความว่า No place(ไม่ มีที่ใด)

ยูโทเปียนั้นเป็นแนวคิดเชิงอุดมคติเกี่ยวกับโลกอันสมบูรณ์ที่ โทมัส มอร์ (Thomas More) นักปรัชญามานุษยนิยมชาวอังกฤษ เขียนขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1516 ในยุคสมัยของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 แห่งราชวงศ์ทิวดอร์ (สมัยเดียวกับกรุงศรีอยุธยาตอนต้น) โดยเขียนขึ้นเป็นภาษาละตินและต่อมาได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษในปี 1551 โดยราล์ฟ โรบินสัน

มอร์ เป็นนักการศาสนาที่เคร่งครัด จนได้รับการสถาปนาเป็นนักบุญเมื่อปี 1935 และเป็นนักการเมืองมือสะอาด แต่มอร์ต้องเสียชีวิตจากการถูกประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 1535 สืบเนื่องจากความเห็นขัดแย้งทางการเมือง ต่อพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8

เขาเห็นความลำบากยากแค้นของประชาชน ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างขุนนางกับชาวนา ในขณะที่เขาดำรงตำแหน่งเป็นตัวแทนจากรัฐ ไปเจรจาการค้าที่แฟลนเดอร์ หลังจากที่พระเจ้าชาร์ลส์แห่งเนเธอร์แลนด์ ขึ้นภาษีนำเข้าขนสัตว์ในอัตราที่สูงลิ่ว

ระหว่างการเดินทาง มอร์เกิดแรงบันดาลใจให้นึกถึงหนังสือ Republic ของเพลโตที่ว่าด้วยการปกครองที่ดี และเมื่อย้อนนึกถึงความทุกข์ยากของอังกฤษในเวลานั้น มอร์จึงเขียนถึงสังคมในอุดมคติที่มีชื่อว่า "ยูโทเปีย (Utopia)" ขึ้น โดยตั้งใจเขียนเป็นวรรณกรรมเสียดสีล้อเลียนความโง่เขลาและความเลวร้ายของสังคมในสมัยนั้น สังเกตจากการตั้งชื่อต่างๆ อาทิ ยูโทเปีย มาจากภาษากรีก หมายถึงเมืองที่ดีหรือเมืองที่ไม่มี ณ แห่งหนใด (eu-topia = good place และพ้องเสียงกับความหมายที่ว่า no place เช่นกัน)

ยูโทเปียเป็นสังคมในฝันเพราะการสร้างค่านิยมในเรื่องการรักษาคุณธรรมและความพึงพอใจในการใช้ชีวิต ชาวยูโทเปียไม่ให้ความสำคัญกับวัตถุ โดยเห็นว่าเงินและทองเป็นสิ่งหยาบช้า ไม่มีค่า มีไว้สำหรับทำโซ่สำหรับทาส หรือจ้างคนชั่วไปทำสงครามแทน

นี่ละครับทุกท่านเป็นที่มาของคำว่า “ยูโทเปีย” ประเด็นต่อมาที่จะกล่าวถึงก็คือ เราคงได้ทราบมาแล้ว (และคงเรียนมาเยอะ) ว่าทัศนะทางสังคมและการเมืองนั้นถูกแบ่งเป็นสองอย่างชัดเจน แล้ว “รัฐและสังคมในอุดมคติ” ของทั้งสองแนวความคิดนี้จะเป็นอย่างไร ผมจะขอยกตัวอย่างที่ทุกท่านจะเห็นได้ง่ายๆกันก่อนนะครับนั่นก็คือ “รัฐหรือสังคมในแบบเสรีนิยมและทุนนิยม” ที่ผมยกมาก่อนแนวความคิดอีกกลุ่มหนึ่งเพราะว่าเราสามารถดูได้จากประเทศที่มีอยู่ในปัจจุบัน ที่ใช้แนวความคิดสายนี้ได้ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา นั่นเองเราจะสามารถเห็นความเป็นสังคมและรัฐได้ชัดเจนมากขึ้น ประชาชนมีสิทธิ มีเสรีภาพ รัฐบาลทำหน้าที่ปกป้องสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ประชาชนมีสิทธิเท่าเทียมกันแต่อยู่ที่ว่าใครจะใช้สิทธิของตนมากกว่ากัน ผมคิดว่าเหล่านี้ล้วนเป็นสาระของแนวคิดทางซีกนั้น และแน่นอนคือมีตัวอย่างให้เห็นกันแล้ว เราเห็นได้ชัดมาก (มากเกินไปด้วยซ้ำ) จะขอยุติในการกล่าวถึงสายความคิดนี้เพียงเท่านี้นะครับ

ต่อจากนี้ผมจะขอพูดถึงในแนวความคิดอีกสายหนึ่งกันบ้างนะครับ คราวนี้อาจจะเจาะลึกหน่อยนะครับเพราะผมมองว่าในโลกแห่งความเป็นจริงเรามีประเทศที่เป็น “รัฐและสังคมในอุดมคติ” ตามแบบฉบับของ “เสรีนิยมและทุนนิยม” กันมาแล้ว แต่ในฝั่งความคิดนี้ (โดยจะเน้นที่สังคมคอมมิวนิสต์ของ คาร์ล มาร์กซ์) ยังไม่อาจจะมีประเทศไหนเลยที่จะเป็น “รัฐและสังคมในอุดมคติ” เลยแม้แต่ประเทศเดียว แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านช่วงเวลาของ “สงครามเย็น” (สำหรับความหมายของคำว่าสงครามเย็นในพจนานุกรมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ได้ให้ความหมายไว้ว่า “สภาวะความตึงเครียดและความเป็นปฏิปักษ์กันอย่างรุนแรงระหว่างมหาอำนาจตะวันตกกับค่ายคอมมิวนิสต์ของยุโรปตะวันออก”) กันมาแล้วก็ตาม จนสงครามเย็นสิ้นสุด ทุนนิยมมีชัย แล้วอุดมการณ์แห่งสังคมคอมมิวนิสต์ละหายไปไหน ซึ่งแล้วแต่จะคิดกัน จากการศึกษาค้นคว้า เราได้แนวคิดต่อสังคมคอมมิวนิสต์ดังนี้

1. สังคมคอมมิวนิสต์ เป็นสังคมขั้นสุดท้าย เกิดขึ้นภายหลังจากที่บรรดานายทุนและผู้เลื่อมใสในระบบทุนนิยมถูกจำกัดโดยรัฐบาลแห่งชนชั้นกรรมาชีพ จนไม่หลงเหลืออยู่บนพื้นโลก เป็นสังคมที่บันดาลสันติภาพให้มีทั่วทั้งโลก และทุกคนมีความเสมอภาคกัน ความรู้สึกแห่งการเป็นปฏิปักษ์ต่อกันระหว่างชนชั้นจะไม่มีอีกต่อไป เพราะจะเหลืออยู่เพียงชนชั้นเดียวเท่านั้น คือชนชั้นกรรมาชีพ ซึ่งดำรงชีวิตสอดคล้องกับอุดมการณ์ของเขาและมนุษยชาติจะเริ่มสังคมคอมมิวนิสต์ใหม่และสมบูรณ์ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายปลายทางที่พลังแห่งการวิภาษในประวัติศาสตร์ได้นำมา
2. สังคมคอมมิวนิสต์ เป็นสังคมเอกภาพ ทุกคนเป็นพลเมืองของโลกเหมือนกันหมดไม่มีรัฐบาลอีกต่อไป ทุกคนจะมีเสรีภาพอย่างแท้จริงและประสบกับความเสมอภาคอย่างแท้จริงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้ว่าจะมีการยอมรับว่า คนบางคนจะมีความเสมอภาคในการบริหารประชาคมเหนือกว่าคนอื่นๆ แต่ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจอันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดจะมีอยู่ในสังคม คนทุกคนจะทำงานตามความสามารถของเขา และได้รับส่วนแบ่งของผลิตผลไปตามความจำเป็นในการครองชีพของเขา
3. คาร์ล มาร์กซ์ เชื่อว่า คนในสังคมคอมมิวนิสต์นี้ จะเป็นผู้มีคุณธรรมสูง มีความร่วมมือกันกับเพื่อนร่วมสังคมของเขาอยู่เสมอ บรรยากาศของการแข่งขันจะไม่มีอยู่ในสังคมนี้ ปัญหาทางการเมืองหรือความขัดแย้งระหว่างคนในสังคมจะไม่เกิดขึ้น เพราะปัญหาต่างๆ เหล่านั้นจะมีขึ้นก็ต่อเมื่อคนมีกรรมสิทธิ์ส่วนตัว หรือยังมีชนชั้นอยู่ในสังคม อันจะทำให้มีการเรียกร้องผลประโยชน์หรือสิทธิ สังคมคอมมิวนิสต์นี้เป็นสังคมที่มีสันติภาพอันถาวร
ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นต้องมีรัฐบาลคอยควบคุมความขัดแย้ง คนในสังคมจะร่วมมือกันปกครองตนเองอย่างมีความสุข
4. ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะได้รับการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ความเจริญของระบบการผลิตทำให้คนมีความสุขสบายขึ้น ทำงานน้อยชั่วโมงลง และมีเวลาสำหรับสนใจเรื่องอื่นๆ เช่น วัฒนธรรมมากขึ้น ความก้าวหน้าในวิธีการผลิต จะไม่เป็นโรคร้ายทำลายตัวเองเหมือนในระบบทุนนิยม เพราะสังคมที่จัดสรรผลิตผลที่ได้อย่างเหมาะสมแล้วจะไม่ประสบปัญหาการเฟ้อของผลผลิต การบริโภคต่ำ การว่างงานและภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ

ถ้าจะเปรียบเทียบทัศนะในเรื่องสังคมในอุดมคติของ มาร์กซ์ ก็คือ “คอมมิวนิสต์” กับของ โทมัส มอร์ ซึ่งก็คือ “ยูโทเปีย” นั้นค่อนข้างที่จะตรงกันมากในหลายๆประเด็นหลัก เช่น ความเสมอภาคอย่างแท้จริง การหลุดออกจากกรอบของ “ทรัพย์สิน” ความมีศีลธรรมและจริยธรรมแท้จริงของคนในชาติ เป็นต้น ฉะนั้นแล้วก็แทบจะเทียบกันได้ในระดับหนึ่งเลยว่า “ยูโทเปีย” ก็คือ “สังคมคอมมิวนิสต์” นั่นเอง และด้วยเหตุนี้นั้นทำให้ แนวคิดเรื่อง รัฐและสังคมในอุดมคติของฝ่าย “เสรีนิยมและทุนนิยม” นั้นจะยิ่งเป็นการห่างจากความเป็นอุดมคติมากขึ้นไปอีก เพราะรัฐและสังคมในแบบ “เสรีนิยมและทุนนิยม” นั้นแท้จริงก็เป็นเรื่องของความเป็นไปตามธรรมดาสามัญของสังคมมนุษย์ในปัจจุบันเท่านั้น ที่มีทั้งความเห็นแก่ตัว แก่งแย่งผลประโยชน์ มีกิเลส ตัณหาเป็นตัวครอบงำ
ซึ่งจะแตกต่างโดยสิ้นเชิงในความหมายของคำว่า “ยูโทเปีย”

ความคิดเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับ “ยูโทเปีย”

จากการที่ได้มีการศึกษาค้นคว้าทัศนะทั้งสองฝ่ายและการศึกษาถึงคำว่า “ยูโทเปีย” หรือจะเรียกว่า “รัฐและสังคมที่เป็นอุดมคติ” มาแล้วนั้นผมมีความคิดเห็นอย่างหนึ่งว่า รัฐและสังคมที่เป็นอุดมคติได้นั้นจะต้องไม่ใช่ทั้ง เสรีนิยมทุนนิยม หรือคอมมิวนิสต์ (รวมทั้งแนวคิดอื่นๆที่เคยได้ศึกษามา แต่ว่าไม่ได้กล่าวถึงเพราะว่าไม่อย่างนั้นตัวผมคงลาโลกไปก่อน แนวความคิดที่ว่านี้ เช่น อริสโตเติล, เล่าจื้อ, จวงจื้อ, ขงจื้อ, เม่งจื้อ, ฮั่นเฟยจื้อ, หรือในศาสนาพราหมณ์ เป็นต้น) “รัฐและสังคมที่เป็นอุดมคติ” แท้จริงนั้นจะต้องไม่ใช่ “เสรีนิยมทุนนิยม” เพราะผมมีความคิดว่า เสรีนิยมทุนนิยมนั้นไม่ได้สร้างอะไรเลยนอกจากปัญหา โลกปัจจุบันที่มีปัญหาก็เพราะการที่ทุกคนเอาแต่ใช้เสรีภาพของตนแสวงหาสิ่งที่เป็นทุน จนลืมมองว่าแท้จริงสิ่งที่เรากำลังทำอยู่มีผลกระทบต่อคนอื่นและโลกมากขนาดไหน คนๆเดียวสามารถทำร้ายมนุษย์ได้มากมายมหาศาลเพียงเพื่อ “ผลประโยชน์” ตามความคิดเห็นของผมมองว่าเสรีนิยมทุนนิยมนั้นมุ่งให้สังคมคงอยู่ในรูปของคำว่า “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” คนที่มีศักยภาพมากกว่าสามารถที่จะอยู่รอดได้ต่อไป คนที่อ่อนแอกว่าต้องยอมสยบให้ผู้ที่อยู่สูงกว่าหรือไม่อย่างนั้นก็ต้องตาย ผมคิดว่าผลผลิตที่ได้มาจากความเชื่อเหล่านี้จะนำไปสู่ “สังคมแห่งความกลัว” คนในสังคมมีความหวาดระแวงซึ่งกันและกันว่าจะถูกล่วงละเมิดสิทธิเมื่อไร ดังนั้นจึงควรมีรัฐ แต่นั่นก็ใช่ว่าความกลัวและหวาดละแวงจะหมดไป เพราะแท้จริงคติความเชื่อในเรื่อง “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” นั้นก็ต้องมีอยู่เสมอไปตราบเท่าที่มนุษย์ยังถือตนว่ามีสิทธิเสรีภาพอย่างไม่ประมาณตน และที่สำคัญผมคิดว่าในโลกของ “เสรีนิยมทุนนิยม” นั้นเปรียบเสมือนการ “ลดคุณค่าของความเป็นคน” ลงไปเปรียบได้กับสัตว์ที่มีความคิดเท่านั้น ถึงแม้ว่าผมจะมีทัศนะที่ไม่ได้มองว่ามนุษย์นั้นมีความสูงส่งกว่าสิ่งใดแต่ก็บอกได้อย่างเต็มปากว่าเราคือคน ผู้ซึ่งมีอารยธรรม ไม่ใช่เป็นเพียงแค่สัตว์ตัวหนึ่งเท่านั้น นี่คือมุมมองต่อฝ่าย “เสรีนิยมทุนนิยม” แต่ผมก็ไม่ขอปฏิเสธถึงเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ที่ยังคงมีกิเลส ตัณหา ความต้องการ และสัญชาติญาณ ในการเอาตัวรอดของคนแต่มุมมองของ “เสรีนิยมทุนนิยม” นั้นก็เป็นแค่มุมมองด้านเดียวเกี่ยวกับคนเท่านั้น (เช่นที่ฮอบส์สอนในเรื่องอันตนิยมที่ว่าธาตุแท้มนุษย์คือความเห็นแก่ตัว) และในมุมมองอีกด้านหนึ่งก็คือ ผมมองว่า คอมมิวนิสต์ ก็ไม่ใช่ทางที่จะไปสู่สังคมอุดมคติได้เช่นกัน เพราะผมคิดว่าสังคมคอมมิวนิสต์นั้นมันมีความเป็นอุดมคติที่มากเกินไป จนไม่สามารถเป็นจริงได้ เช่นเดียวกับความหมายของคำว่า “ยูโทเปีย” มันเป็นไปได้ยากที่คนจะไม่ขัดแย้งกับคน และการที่คนจะไร้ซึ่งการดิ้นรนเอาตัวรอด ต่อสู้ชีวิตในฐานะคนจะเป็นคนได้หรือไม่ ถ้าท่านได้มีโอกาส ผมขอแนะนำ animation เรื่องหนึ่งนะครับนั่นคือเรื่อง Wall E (พอดีว่าจำชื่อจริงๆไม่ค่อยได้ ถ้าเขียนผิดก็ขออภัยด้วย) ผมคิดว่าสภาพของมนุษย์ในเร่องนี้นั้น ก็ได้บ่งบอกถึงก้าวต่อไปของสังคมคอมมิวนิสต์เช่นกัน เมื่อเทคโนโลยีก้าวล้ำไปอย่างสุดจะจินตนาการ มนุษย์จะคงอยู่ในความเป็นมนุษย์ได้หรือไม่

ตามทัศนะของผมนั้นผมมีความคิดที่ว่า “รัฐและสังคมในอุดมคติ” นั้นต้องมีทางที่จะสามรถเป็นจริงได้นี่คือการให้กรอบทางความคิดของผม ผมคิดว่าหาก “รัฐและสังคมในอุดมคติ” นั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ “เป็นเพียงความฝัน” ที่ลมๆแล้งๆ ผมขอบอกเลยว่าผมคงจะไม่พยายามเสนอความคิดเกิน ๕ บรรทัดเป็นแน่ หากเป็นแค่เพียง ฝันที่ไม่มีหวังเป็นจริง ผมจะไม่ใส่ใจเลย นี่แหละครับคือการให้กรอบทางความคิดของผม ซึ่งยูโทเปียของผม ผมไม่ได้ต้องการให้เห็นได้แค่ในความฝันเท่านั้น แต่ต้องมีคุณค่าและเป็นจริงได้

เอาละครับทุกท่านคราวนี้ผมจะมาเปิดความคิดของผมกันละครับว่า “ยูโทเปีย” ในแบบฉบับที่ผมคิดนั้นเป็นอย่างไร ตามความคิดของผมนั้นผมมองว่าแก่นแท้จริงของ “รัฐและสังคมในอุดมคติ” นั่นก็คือ “ธรรม” นั่นเองครับ เป็นคำตอบเดียวที่เรียบง่าย กระชับ ได้ใจความ ถึงแม้ว่าคนจะมีความแตกต่างกันมากแค่ไหนก็ตาม เชื้อชาติ ประเทศ ศาสนา ถ้าหากแต่ทุกคนมี “ธรรม” เห็นอกเห็นใจกัน ช่วยเหลือกัน เท่านี้ก็เป็น “ยูโทเปีย” ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ เพราะนั่นมิได้หมายความว่ามันทำให้คนจิตใจสูง สำคัญที่สุดคือ “อยู่ที่ใจคน” ต่างหากและถือเป็นการพัฒนาที่มั่นคงและยั่งยืนด้วย นี่ละครับ “รัฐและสังคมในอุดมคติ” ตามแบบฉบับของผมเลย ไม่ยากนะครับ แต่ไม่ง่าย แค่ขอความร่วมมือจากคนทั้งโลก ไม่ต้องสร้างอะไรใหม่ และไม่ต้องทำลายอะไรเลย
แค่นี้ก็ถือเป็น “รัฐและสังคมในอุดมคติ” ได้แล้วละครับ

หมายเหตุ: ที่เสนอมาทั้งหมดนี้ในบางทีก็เป็นอคติของผมเองแหละครับ ยากนะครับพูดเรื่องการเมือง สังคม จะไม่ใส่อคติตัวเองไป แต่ก็ดีนะครับ อย่าเก็บไว้เลยครับแสดงออกมาเถอะ แต่แสดงออกในทางที่สร้างสรรค์นะครับ

คุยก่อนลา

เอาละครับผมขอจบหัวข้อด้วยประการฉะนี้นะครับ โอย...เสนอมาซะยืดยาว จะโดนใจบ้างหรือเปล่าก็ช่วยบอกทีนะครับ เป็นอีกครั้งที่หนักใจตอนทำ และ รู้สึกสบายใจด้วย เพราะอยากจะลองทำเรื่องนี้มานาน เป็นไงทำหายอยากเลย ใครที่อ่านมาได้ถึงตรงนี้ผมก็ต้องขอชื่นชมอย่างแรงเลยนะครับ คุณเยี่ยมมาก มีความอดทนเป็นเลิศจริงๆ ถึงตอนนี้ผมคงต้องขอกล่าวลาแล้วละครับ ตอนที่ทำบทความอยู่ ช่วงเวลานี้คือ ตี ๓ นะครับคงจะทนต่อไปบ่ไหวแล้วครับ
ต้องขอขอบคุณที่อ่านและขอให้มีความสุขกันถ้วนหน้านะครับ...Bye...

ทุกคนมีสิทธิที่จะฝันใช่ไหมครับ......................................

ป.ล. ถึง อาจารย์ยิ่งยศ
ผมคิดว่าอาจารย์เป็นอย่างนี้ดีแล้วครับ สนุกและได้สาระ ดีครับ
ถ้าอาจารย์มีเวลาว่างมาเปิดวิชาเรียนเพิ่มอีกสักวิชาก็ได้นะครับแล้วจะลงเรียน

ข้อมูลเพิ่มเติม
http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2008q3/2008september24p3.htm
http://creatures.igetweb.com/index.php?mo=3&art=162317
http://www.tortaharn.net/contents/index.php?option=com_content&task=view&id=129&Itemid=76
ชัยวัฒน์ อัตพัฒน์, รศ. (๒๕๔๗). ปรัชญาตะวันตกสมัยใหม่ ๒ (พิมพ์ครั้งที่ ๕). สำนักพิมพ์
มหาวิทยาลัยรามคำแหง

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การปฏิวัติ กับ CODE GEASS


วันนี้พบกันอีกครั้งแล้วครับ นี่ก็เป็นครั้งที่สองแล้วครับที่มาเจอกัน ตอนแรกก็ตั้งใจอยู่นะครับว่าจะเขียนเรื่อง "สังคมในอุดมคติ" แต่ว่าวันนี้เกิดของขึ้นหรือไม่แต่ประการใดขอยกยอดไว้เป็น วันอื่นแล้วกันครับ แต่สัญญาว่าจะเร็วๆนี้แน่ครับ แต่คราวนี้ผมจะขอพูดถึงเรื่อง "การปฏิวัติ กับ CODE GEASS" กันก่อนนะครับ เนื่องจากวันนี้ได้เรียนวิชาปรัชญาและสังคมมา ประเด็นหลักที่สะกิดใจมากที่สุดคือ เรื่องการปฏิวัติของลัทธินีโอมาร์กซิสต์ที่มีต่อสภาพสังคมทุนนิยม ผมคงไม่ลงรายละเอียดแต่พอบอกได้ว่า ลัทธิมาร์กซเดิมนั้นมีแนวคำสอนให้กรรมาชีพปฏิวัติโดยใช้อาวุธ หรือนั่นก็คือความรุนแรงนั่นเองครับพี่น้อง แต่การปฏิวัติตามแบบของลัทธินีโอมาร์กซิสต์นั้น จะปฏิวัติโดยการปลูกฝังความคิดแบบของลัทธิมาร์กซิสต์แทนการใช้ความรุนแรงนั่นเองครับ โดยมีเป้าหมายพื้นฐานเพื่อการปฏิรูปสังคมสู่สังคมที่มีความยุติธรรม อย่างค่อยเป็นค่อยไป

ผมขอออกตัวว่าผมยังไม่ได้มีแนวคิดเรื่องรัฐหรือสังคมในอุดมคติอย่างจริงจังมากนัก และการจะหาคำตอบได้ชัดเจนก็คงต้องใช้เวลาสักหน่อย ในตอนแรกที่ผมยกแนวคิดของลัทธินีโอมาร์กซิสต์ขึ้นมา ผมไม่ได้มีเจตนาจะพูดถึงหรือต้องการโลกคอมมิวนิสต์ แต่ที่ต้องการก็คือ การได้พูดถึง "การปฏิวัติสังคม" ในการยกลัทธินีโอมาร์กซิสต์ขึ้นมาก็เป็นเพียงตัวอย่างนะครับ

จากบทความเดิมหลายท่านคงเดาออกว่าผมเป็นคนประเภทที่ไม่พอใจความเป็นอยู่ของสังคมและการเมือง(โดยเฉพาะสยามประเทศครับ ! เพราะผมเองก็เป็นหนึ่งในปวงชนชาวสยามเช่นเดียวกับหลายๆท่านที่ได้อ่าน)ในปัจจุบันครับ การที่ผมเป็นคนแบบนี้นั้นก็มาจากสิ่งภายในก็คือแนวคิดของตนเอง และสิ่งภายนอกก็คือข้อมูลข่าวสารที่ได้มา เมื่อมีการพูดถึงการปฏิวัติขึ้นมาก็สะกิดใจอย่างแรง ผมคิดว่าผู้ใช้อำนาจหรือผู้ปกครองของเราทำอะไรกันอยู่ เราเคยตั้งคำถามกับคนเหล่านั้นหรือไม่ ถึงเคยเขาก็ไม่เคยตอบ และแม้ว่าเขาจะตอบเขาก็ตอบแบบตอหลด การที่เรามีผู้ใช้อำนาจหรือผู้ปกครองแบบนี้ผมไม่เคยพอใจเลย (โดยเฉพาะตั้งแต่มาได้เรียนปรัชญา) คนเหล่านั้นแท้จริงต้องทำเพื่อปวงชนอย่างเราสิ มันทำให้เกิดปัญหามากมาย อาธิ เช่น ท่านเคยสงสัยไหมว่าทำไมเราเกิดมาเราก็เป็นหนี้แล้ว ทำไมเงินภาษีที่ต้องเป็นของปวงชน ท่านเหล่านั้นจึงเอาไปกินเสียหละ ทั้งที่เป็นเงินภาษีของพ่อและแม่ของเรา และในอนาคตเราเองด้วยที่จะต้องเสียภาษีเช่นกัน เป็นต้น ผมคิดว่าคนพวกนี้เป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ครับ ผมเรียกว่า "ชูชกซาเปียน" ครับ กินได้กินดีไม่กลัวท้องแตก แดกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก...กันเข้าไป (ข้อโทษครับที่ไม่สุภาพ)

หลังจากการพรรณาอย่างยืดยาวและของขึ้นมาแล้วผมอยากจะถามทุกท่านครับว่า ท่านชอบดู Animation หรือไม่ครับ ? หัวเรื่องที่ผมได้ยกมาใบบทความนี้คือ"การปฏิวัติ กับ CODE GEASS" ครับ ผมอยากจะยก Animation ดีๆมาแนะนำให้พวกท่านทั้งหลายนะครับนั่นคือ "Code Geass: Lelouch of the Rebellion" หรือในชื่อภาษาไทยก็คือ "โค้ด กีอัส ภาคการปฏิวัติของลูลูช " เนื้อเรื่องคร่าวๆ มีดังนี้ครับ

ในวันที่ 10 เดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 2010 จักรวรรดิบริททานเนียได้โจมตีญี่ปุ่นด้วยหุ่นยนต์รุ่นใหม่ ไนท์แมร์เฟรม ทำให้ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ และเสียชื่อประเทศและอิสรภาพไป ประเทศญี่ปุ่นถูกเรียกว่า Area 11 (แอเรีย สิบเอ็ด) และคนญี่ปุ่นถูกเรียกว่า ชาว 11 (อีเลฟเว่น) ชาวอีเลฟเว่นถูกบังคับให้อาศัยอยู่ในถิ่นที่เสื่อมโทรม ในขณะที่ชาวบริททานเนียเข้ามาอาศัยในบ้านเรือนที่หรูหรา อย่างไรก็ตาม มีชาวญี่ปุ่นหลายกลุ่มที่ตั้งตัวเป็นกบฏ ต่อต้านบริททานเนีย เพื่ออิสระของญี่ปุ่น

7 ปีต่อมา ลูลูช นักเรียนโรงเรียนแอชฟอร์ดคนหนึ่ง ได้เข้าไปพัวพันกับกลุ่มกบฏในแอเรียสิบเอ็ด และพบกับหญิงสาวลึกลับ นามว่า ซีทู ผู้มอบพลังของกีอัสให้กับเขา ทำให้เขามีพลังที่จะต่อสู้กับบริททานเนีย แก้แค้นให้มารดาของเขา และสร้างโลกที่อ่อนโยน ที่นันนาลี่ น้องสาวของเขา จะอยู่ได้อย่างสงบสุข จนเขาได้รู้ความจริงว่าเพื่อนรักของเขาหรือสุซาคุนั้นต้องมาเป็นศัตรูกันเนื่องจากสุซาคุได้ไปเป็นทหารของบริททาเนียนเขาจึงต้องอยู่ภายใต้หน้ากากและภายใต้นามว่า ซีโร่ และได้ก่อตั้งภาคีอัศวินดำขึ้น และสมรู้ร่วมคิดกับ ซีทู เรื่อยมาจนความจริงและตัวตนของเขาเปิดเผยโดยเพื่อนรักของเขาเอง

ที่ผมยกประเด็นใน Animation เรื่องนี้ขึ้นมาก็คือว่า ผมคิดว่าเราจะยอมทนอยู่อย่างทุกข์ระทมแบบนี้ต่อไปหรือครับ ทำไมเราต้องยอมใช้ชีวิตแบบที่เป็นเหมือนกับของเล่นของคนเพียงกลุ่มเดียวซึ่งถ้าเทียบกับคนธรรมดาสามัญอย่างพวกเรานั้นพวกเขาเป็นเพียงคนกลุ่มเล็กๆเท่านั้น ทำไมถึงปิดกั้นความปรารถนาของตนเองและยอมใช้ชีวิตแบบไม่มีปากมีเสียงและวิ่งไปตามคำสั่งของคนเหล่านั้น ตัวละครลูลูชเป็นเพียงแค่คนๆเดียวเท่านั้น แม้ว่าจะมีพลังพิเศษก็ตามที สำหรับคนที่เคยดูแล้วจะรู้ว่า พลังเหนือธรรมชาติที่เขามี หาใช่เนื้อหาสาระที่ลูลูชจะแข็งแกร่งจนสามารถท้าทายจักรวรรดิบริททานเนียได้ (ในเรื่องกล่าวว่าบริททานเนียได้ยึดครองดินแดน 1 ใน 3 ของโลก) หากแต่มาจากแรงปรารถนาที่จะปฏิวัติ ความหวังที่จะสร้างโลกที่ปลอดภัยแก่น้องสาวจากการหลอกใช้และกดขี่ และการที่กล้าที่จะท้าทายต่อชะตากรรมของตน เหล่านี้คือแก่นอันแท้จริงของพลังที่ลูลูชมี ! และตัวพวกเราละ ?

ในการเขียนบทความครั้งนี้ผมขอยกประโยชน์ให้กับ Animation เรื่องนี้จริงๆครับถึงแม้ว่าการคร่าชีวิตคนจะเป็นเรื่องที่ผิดก็ตาม แต่ความกล้าที่จะต่อสู้มันช่างน่าสรรเสริญยิ่งนักครับ หลังจากที่ผมได้ดูเรื่องนี้มันทำให้ผมมีความกล้าที่จะวิพากษ์สังคมขึ้นมา (แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่การพูดคุยระหว่างเพื่อน คนรอบข้าง หรือการทำ Blog ก็ตามที) การที่เราได้ตัดสินใจที่จะทำมันมีคุณค่ากว่าเราไม่เคยตัดสินใจที่จะทำเลย Animation เรื่องนี้สอนให้ผมรู้อะไรมากมายหากทุกท่านได้มีโอกาสชม รับประกันว่าไม่ผิดหวังครับ

และในท้ายสุดนี้ผมหวังว่า ถึงแม้เราจะไม่สามารถปฏิวัติสังคมที่เราอยู่ได้ก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ขอให้บทความนี้เป็นสิ่งที่จุดประกายแก่ท่านๆทั้งหลายที่ได้มาเข้าชมว่าถึงแม้จะไม่สามารถปฏิวัติในความเป็นจริงได้แต่ท่านก็สามารถที่จะปฏิวัติความคิดของท่านและคนรอบกายท่านได้ แม้ว่าจะเริ่มเพียงกลุ่มคนเพียงน้อยนิดก็ตาม แต่นั่นก็ดีกว่าการไม่ทำอะไรเลยและยอมแพ้ต่อความเป็นไป อนาคตของเรา เรากำหนดเองได้ แม้เป็นเพียแค่งความคิดก็ตาม ..........

..........แต่ความเป็นจริงนั้นก็เป็นสิ่งที่มีจุดเริ่มต้นมาจากความคิดนั่นแล

ข้อมูลเพิ่มเติม
http://www.midnightuniv.org/midnight2545/document95223.html
http://en.wikipedia.org/wiki/Code_Geass

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ทัศนะ ๒ ขั้ว ปรัชญาว่าด้วยคน สังคมและการเมือง ประชันกัน ! ...ใครชนะ


(ร่วมด้วยช่วยกัน...โดยชาวสยามรุ่น ๒๕๕๒)

ขอยินดีต้อนรับชาวโลกทุกท่านสู่พื้นที่เล็กๆ (เล็กจริงๆ) เพื่อมาระดมความคิดหลายๆหัว ได้มาดูเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ ประเทืองปัญญาวันละนิด (เพื่อปัญญาจะได้ไม่ง่อยรับประทาน...เพราะวันๆไม่ค่อยได้ใช้) นี่ถือเป็นบทความที่นำมาใส่เป็นชิ้นแรกของผม ที่เขียน (หรือต้องเรียกว่าพิมพ์สิ) อย่างจริงๆจังๆสักหน่อย ในย่อหน้าแรกก็ขอทักทายอย่างสบายสมองกันก่อนนะครับ ก่อนที่เราจะเข้าสู่เนื้อหาหลักกันต่อจากนี้ ถ้าจะว่ากันจริงๆ Blog นี้ก็เริ่มมาจากงานที่ อาจารย์ยิ่งยศ เทพจำนงค์ เป็นผู้สั่งให้ทำ โดยเกี่ยวเนื่องกับวิชา ปรัชญาสังคมและการเมือง โดยที่ให้สร้าง Blog เพื่อนำเสนอแนวความคิดที่เกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียน...สู่สายตาชาวโลก!... ฉะนั้นแล้วจึงจัดทำขึ้นมาจนสำเร็จ แต่เป็นไปในแบบแค่มือใหม่หัดทำ เพราะเป็นคนที่ใช้คอมแค่ไม่กี่อย่าง (เช่นพิมพ์งาน ดูหนัง และอะไรอีกไม่มาก) แต่ก็คิดว่าถ้าทำต่อไปเรื่อยๆคิดว่าคงชำนาญขึ้น แต่ถึงแม้ว่า Blog นี้จะถูกทำขึ้นมาเพื่อเป็นงานส่งในวิชาเรียนก็ตาม แต่ตัวผมก็มีความประสงค์ให้พื้นที่เล็กๆนี้ได้เป็นพื้นที่ที่ทุกคนสามารถจะแสดงออกได้อย่างอิสระ ทั้งตัวผมเองและทุกท่านที่ได้มาเข้าชม เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้และทัศนะต่างๆให้ทุกท่านและตัวผม ผมหวังว่าบทความของผมนั้นจะสามารถเปิดโลกทัศน์ของทุกท่านได้บ้าง แม้จะไม่มากก็ตาม นี่เป็นความหวังของตัวผมเอง (นักทำ Blog มือใหม่)
เอาละหลังจากทักทายกันมามากพอแล้วตัวผมก็จะขอเข้าสู่เนื้อหากันละครับ

กระแสของความคิดนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หัวข้อหนึ่งที่เป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างมากก็คือเรื่องของแนวความคิดทางสังคมและการเมืองนี่ละครับ ที่ดูจะเก่าแก่ที่สุดตามหลักฐานที่มีการศึกษาสืบต่อกันมาโดยที่ผู้ศึกษาปรัชญานั้นทราบดีก็คือเริ่มจากสมัยกรีกโบราณ จวบจนยุคปัจจุบันที่ผมและชาวโลกทุกท่านมีชีวิตอยู่ แม้จะผ่านมานานเป็นพันๆปีก็ตามแต่ปัญหาเรื่องแนวความคิดทางสังคมและการเมืองนั้นก็ยังไม่อาจหาทางที่สิ้นสุดได้ นั่นเป็นเพราะอะไรนั้นผมคงจะไม่ขอกล่าวหรือสรุปในตอนนี้


ก่อนอื่นผมจะขอกล่าวถึงกระแสที่ถือว่าเป็นกระแสทางความคิดที่เป็นหลักในเรื่องแนวความคิดทางสังคมและการเมือง ซึ่งนับมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แนวความคิดทางสังคมและการเมืองได้ถูกแบ่งแยกออกเป็น ๒ กลุ่มที่มีแนวความคิดอย่างชัดเจนที่สุด นั่นคือ

กลุ่มแรกกลุ่มที่ถือว่าสังคมการเมืองไม่ว่าจะเรียกว่ารัฐ ประเทศ หรืออะไรก็ตามที่เป็นที่รวมของปัจเจกบุคคล คนแต่ละคนที่มารวมกันอยู่นี้ต่างมีผลประโยชน์ที่จะต้องปกป้อง การอยู่รวมกันเป็นสังคมการเมืองในทัศนะของนักปรัชญากลุ่มนี้เปรียบเสมือนการทำสัญญา หรือกติกาที่ทุกคนร่วมกันสร้างขึ้น เป็นข้อตกลงร่วมที่ทุกฝ่ายทุกฝ่ายเห็นพ้องว่าอำนวยผลประโยชน์ให้ตนมากที่สุดหรือเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของตนให้ได้มากที่สุด

กลุ่มที่สอง คือกลุ่มที่มองว่าสังคมการเมืองไม่ใช่ที่รวมของปัจเจกชนที่มีผลประโยชน์ส่วนตนอันจะต้องปกป้องรักษา แม้รัฐหรือประเทศจะประกอบด้วยปัจเจกมากมาย แต่ปัจเจกนั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของประเทศ ส่วนย่อยนี้ไม่มีความสำคัญเท่าส่วนรวม ประเทศสำคัญกว่าปัจเจกบุคคล ผลประโยชน์ของชาติต้องมาก่อนผลประโยชน์ของปัจเจก

จากที่ได้แสดงให้เห็นแล้วนั้นว่าแต่ละกลุ่มนั้นมีโลกทัศน์แบบใด นั่นเองก็ได้นำไปสู่การมีโลกทัศน์ในเรื่องอื่นๆที่แตกต่างกัน คราวนี้เราจะมาทำความรู้จักและทำความเข้าใจความคิดในกลุ่มแรกกันก่อน โดยที่นักปรัชญาในกลุ่มนี้นั้น จะประกอบไปด้วย โทมัส ฮอบส์, จอห์น ล็อค, จัง-จาคส์ รุสโซ ซึ่งทั้งหมดเป็นนักปรัชญาตะวันตก และยังมีนักปรัชญาตะวันออกที่มีแนวคิดที่คล้ายคลึงแบบนักปรัชญาตะวันตกที่กล่าวมาแล้วด้วยเช่นกันคือ ฮั่นเฟยจื้อ เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนผมจะขอกล่าวลักษณะโดยรวมของปรัชญาในสายนี้ว่ามีโลกทัศน์แบบใดเพื่อง่ายต่อการศึกษา
โลกทัศน์เรื่องมนุษย์ นักปรัชญาสายนี้มีความเชื่อว่า มนุษย์นั้นมีความเห็นแก่ตัวทุกคน เมื่อมนุษย์ทุกคนมีความเห็นแก่ตัวนั่นทำให้เกิดการแก่งแย่งและต่อสู้ขึ้นได้ ฉะนั้นแล้วมนุษย์จึงได้มารวมกลุ่มกันเกิดเป็นสังคมเป็นรัฐขึ้นมา และที่สำคัญคือ ได้มีการร่วมกันตั้งกฎกติกา เพื่อพิทักษ์ปกป้องสิทธิเสรีภาพและเพื่อให้เกิดความปลอดภัยของปัจเจกชนในสังคมหรือรัฐนั้นๆขึ้น การทำเช่นนี้เป็นการลดทอนสิทธิเสรีภาพของปัจเจกชนทุกคน แต่ว่าสิ่งที่ได้มานั้นก็คือความปลอดภัย และการรับประกันว่าสิทธิเสรีภาพของเราจะไม่ถูกละเมิดโดยผู้อื่น ปัญหาต่อมาก็คือในเรื่องของ “ผู้ปกครอง” กับ “กฎหมาย” ในหัวเรื่องนี้นักปรัชญาแต่ละท่านได้มีความเห็นและคำอธิบายที่แตกต่างกันออกไป (โดยเฉพาะกับ ของฮั่นเฟยจื้อ เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับในปรัชญาตะวันตกนั้น ทางนักปรัชญาตะวันตกจะมีความเห็นเรื่อง “ผู้ปกครองจะต้องมาจากประชาชน” โดยที่ประชาชนเป็นผู้เลือกขึ้นมาเป็นนักปกครอง ซึ่งในวัฒนธรรมของจีนในสมัยของท่านฮั่นเฟยจื้อนั้น เป็นระบอบแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั่นเองก็เป็นข้อที่แตกต่างกันมาก แต่ที่ผมจับทัศนะของ
ฮั่นเฟยจื้อมารวมก็เพราะว่าทัศนะของท่านมีมุมมองที่มองแก่นแท้ของมนุษย์คล้ายกับทัศนะทางนักปรัชญาตะวันตก เมื่อเป็นเช่นนั้นการจะอยู่รวมกันจึงจำเป็นต้องมี “กฎหมาย” เพื่อความเป็นระเบียบของรัฐ) ยกตัวอย่างเช่น ผู้ปกครองต้องมาจากประชาชน หน้าที่ของผู้ปกครองคือการบังคับใช้กฎ แต่มีมีสิทธิในการออกกฎ (ตามทัศนะรุสโซ) ประชาชนสามารถถอดถอนผู้ปกครองได้เมื่อผู้ปกครองไม่ทำตามกระแสของปวงชน และผู้ปกครองต้องไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน เป็นต้น แต่ในส่วนหัวเรื่องหลักๆนั้นก็ถือว่าคล้ายคลึงและอยู่ในประเภทเดียวกัน


คราวนี้เราจะมาทำความรู้จักและทำความเข้าใจความคิดในกลุ่มที่สองกันต่อ นักปรัชญาที่มีแนวความคิดทางสายนี้คือ คาร์ล มากซ์ ซึ่งตามทัศนะนี้จะเป็นการมองตรงกันข้ามกับแนวคิดในกลุ่มที่หนึ่งอย่างชัดเจน ในทัศนะที่หนึ่งนั้นยอมรับว่ามนุษย์มีความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน และรักตัวเอง แต่ในกลุ่มที่สองนี้จะมองไม่เหมือนกัน ถ้ามองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์เราจะพบว่าได้มีมนุษย์ที่ยอมยากลำบาก อุทิษตนเพื่อช่วยเหลือมนุษยผู้อื่นมากมาย เช่น พระพุทธเจ้า พระเยซู คานธี รวมถึงเหล่านักรบที่สู้รบเพื่อปกป้องบ้านเมือง (เช่นเหตุการณ์ในสามจังหวัดชายแดนใต้ของไทย หรือในภาพยนต์เรื่อง 300 เป็นต้น) จริงอยู่ที่คนเหล่านั้นอาจทุ่มเทและเสียสละเพราะนั่นคือ ประเทศ หรือ รัฐ ของตนก็ตาม แต่การกระทำเช่นนั้นคงจะไม่มีใครเรียกว่าความเห็นแก่ตัวแน่ มากซ์ มองว่าปัจเจกบุคคลมีสองภาวะ ภาวะแรกคนทุกคนต่างเป็นตัวของตัวเอง และภาวะที่สองคนทุกคนคือส่วนหนึ่งของสังคม มากซ์เชื่อว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม เป็นสัตว์ที่มีความสำนึกในเผ่าพันธุ์ตนเอง ดังนั้นในการดำรงชีพคนแต่ละคนแม้จะขวนขวายเพื่อให้ตนเองอยู่รอดก็ตาม แต่คนในขณะเดียวกันคนแต่ละคนก็ขวนขวยเพื่อสังคมด้วย หากมนุษย์มีแต่ความเห็นแก่ตัว
ไม่มีคุณสมบัติกล่าวคือการเป็นสัตว์สังคมและสัตว์ที่มีความสำนึกในเผ่าพันธุ์พวกพ้อง สิ่งที่เรียกว่าอารยธรรมจะเกิดขึ้นไม่ได้ ฉะนั้นรัฐหรือประเทศในทัศนะของนักปรัชญากลุ่มนี้มีความหมายมากกว่าปัจเจกบุคคล ดังที่ได้กล่าวไปตอนต้นแล้วนั้นว่าปัจเจกนั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของประเทศ ส่วนย่อยนี้ไม่มีความสำคัญเท่าส่วนรวม ประเทศสำคัญกว่าปัจเจกบุคคล ผลประโยชน์ของชาติต้องมาก่อนผลประโยชน์ของปัจเจก หากเกิดความขัดแย้งในผลประโยชน์ระหว่างปัจเจกกับรัฐขึ้น ผลประโยชน์ของรัฐจะต้องมาก่อนเสมอ แนวคิดทางสายนี้สามารถรวมแนวคิดทางการเมืองการปกครองแบบศาสนาพราหม์ในสมัยอินเดียโบราณ และแนวคิดของเพลโต้ ในเรื่องอุดมรัฐได้ด้วยเพราะมีลักษณะโดยให้ความสำคัญของปัจเจกน้อยกว่ารัฐเช่นเดียวกัน


เราได้เข้าใจทัศนะของทั้งสองฝ่ายมาแล้ว เราจะเห็นได้ว่าทัศนะของทั้งสองนั้นมีทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งที่แตกต่างกัน ขอย้ำในคำว่าจุดอ่อนและจุดแข็ง นั่นแปลว่าทั้งสองทัศนะ ไม่มีทัศนะใดที่สมบูรณ์แบบจริงๆ (ซึ่งนั่นเองอาจจะตอบปัญหาเรื่องแนวความคิดทางสังคมและการเมืองนั้นยังไม่อาจหาทางที่สิ้นสุดได้เช่นกันแต่ยังไม่เพียงพอที่จะสรุปได้) แต่คงเป็นเรื่องยากที่จะชี้ลงไปได้ว่าอย่างใดดีกว่า เพราะนี่เป็นปรัชญาสังคมและการเมือง เมื่อขึ้นมาว่าสังคมและการเมือง สิ่งที่ตามมาแน่นอนก็คือ จำต้องมี “ผู้ปกครอง” และ “ผู้ถูกปกครอง” ทั้งสองคือตัวแปรที่สำคัญ อย่างที่กล่าวไปทัศนะทางปรัชญาสังคมและการเมืองของทั้งสองนั้นมีทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งที่แตกต่างกัน เป็นเรื่องยากที่จะชี้ว่าใครดีกว่า ได้มีนักคิดมากมายพยายามบอกกล่าวว่าฝ่ายนั้นดีกว่าบ้างฝ่ายนี้ดีกว่าบ้าง บ้างก็ว่าแนวคิดในกลุ่มที่สองเป็นจริงไม่ได้บ้างละ แนวคิดในกลุ่มแรกก็โดนกล่าวในแบบเดียวกัน แต่ถ้ามองให้ดี แนวคิดทั้งสองนั้นถึงแม้ว่าจะขนานกัน ไม่สัมพันธ์กัน แต่ว่าตั้งอยู่บนระนาบเดียวกัน หากตัดรายละเอียดปลีกย่อยของแต่ละแนวคิดออดไป สิ่งที่แนวคิดในกลุ่มแรกต้องการก็คือรัฐที่มีคุณภาพ ปัจเจกที่มีคุณภาพ และความมีระเบียบเรียบร้อยหรือไม่ คำตอบก็คือใช่ และแนวคิดของกลุ่มที่สองจะต้องการผลที่เป็นคำตอบเดียวกันหรือไม่ คำตอบก็คือใช่ ทั้งสองแนวคิดนี้แท้จริงแล้วต้องการสิ่งเดียวกันนั่นเองหาใช่เรื่องอื่นใด ฉะนั้นแล้วทัศนะทั้งสองจึงมิได้เหลื่อมล้ำกันแต่อย่างใด
แต่เราได้เห็นตัวอย่างทั้งในอดีตและปัจจุบันมาแล้วว่าได้มีหลายๆประเทศที่ได้ใช้ปรัชญาทั้งสองแบบนั้นมาปกครองประเทศ แต่ว่าทำไมถึงยังคงเกิดความวุ่นวายและไร้ระเบียบกันอยู่ ถ้าเราจะมาดูที่ตัวปรัชญาของแต่ละฝ่ายว่าผิดพลาดและไม่สมบูรณ์หรือไม่ คำตอบคือนั่นก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ว่าไม่มีปรัชญาใดที่สมบูรณ์อยู่แล้วซึ่งเป็นเรื่องที่คนที่นำปรัชญามาใช้ต้องรู้อยู่แล้วซึ่งนั่นจะทำให้เกิดการพัฒนาแนวคิดมากขึ้นเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด แต่ทำไมก็ยังเกิดปัญหาขึ้นอีกและร้ายแรงมากขึ้นด้วย (เช่นวิกฤตการณ์การเงินของสหรัฐอเมริกาที่ร้ายแรงมาก เป็นต้น) บางทีปัญหามิได้อยู่ที่แนวคิด ปรัชญา หรือตัวของระบบ ผมได้กล่าวไปแล้วว่า “ผู้ปกครอง” และ “ผู้ถูกปกครอง” ทั้งสองคือตัวแปรที่สำคัญ แท้จริงแล้วปัญหาทั้งหมดนั้นอยู่ที่ตัวแปรสองตัวนี้เท่านั้น หาก“ผู้ปกครอง” และ “ผู้ถูกปกครอง” นั้นไม่ฝ่าฝืนระบบ ไม่ว่าจะเป็นละหรือทำเกินกว่าหน้าที่ หรือการหวังแต่ผลประโยชน์ส่วนตน ปัญหาก็จะไม่เกิด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดมากเช่น เพราะความโลภทำให้อเมริกาต้องประสบปัญหาเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เป็นต้น


คำถามที่เราถามในตอนต้นก็คือปัญหาเรื่องแนวความคิดทางสังคมและการเมืองนั้นยังไม่อาจหาทางที่สิ้นสุดได้เพราะอะไรนั้น ถ้าจะเอาข้อมูลที่มีอยู่มาตอบได้นั้นที่สำคัญก็จะมีอยู่สองประเด็นหลักๆก็คือ
๑. การที่ไม่มีทัศนะใดที่สมบูรณ์แบบ ในประเด็นนี้ถึงแม้ว่าทัศนะที่กล่าวมาจะไม่สมบูรณ์แบบก็ตามแต่นั่นก็ถือเป็นความท้าทายต่อนักคิดรุ่นหลังต่อไปที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนาแก้ไขต่อไป เพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในประเด็นนี้เหมือกับว่าแนวความคิดของฮั่นเฟยจื้อจะถูกต้องที่ว่า กฎหมายและการปกครองจะต้องเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามกาลเวลา
๒. “ผู้ปกครอง” และ “ผู้ถูกปกครอง” จะต้องไม่เป็นผู้ฝ่าฝืนกฎเสียเองทั้งสองฝ่าย หรือแม้แต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ตามที

คุยทิ้งท้าย (ขอคุยแบบสบายๆ)
หลังจากที่ได้กล่าวเนื้อหามาซะนานย่อหน้านี้ก็จะเป็นย่อหน้าสุดท้ายแล้ว แต่ก่อนจะลาจากกันไปผมมีเรื่องอยากจะบอกต่อจากเนื้อหาอีกหน่อยครับ ตามความคิดของผมเลยนั้นผมไม่ได้ชอบแนวทางใดเลยทั้งสองแนวทางแหละครับ บางทีผมก็ชอบเสรีนิยม บางทีก็ชอบสังคมนิยม แล้วแต่ช่วงเวลามากกว่า แต่จะให้ดีเยี่ยมจริงๆนะครับ ต้องนำแนวคิดทั้งสองมารวมกันให้เป็นหนึ่งให้ได้ ถ้าหากนำแนวคิดทั้งสองมารวมกันได้จะเป็นเรื่องที่เยี่ยมมาก แม้ว่าก่อนหน้านี้อาจจะมีนักคิดที่มีแนวคิดแบบนี้มาแล้ว ถ้าผมจำไม่ผิดก็คือ จอห์น รอลส์ แต่ตัวผมเองก็ยังไม่พอใจนัก หรือบางทีผมอาจจะยังศึกษาปรัชญาของท่านไม่มากและดีพอก็ได้ แต่ในเรื่องการนำแนวคิดทั้งสองนั้นมารวมกันผมมองว่าทัศนะทั้งสองเป็นของที่อยู่กันตรงกันข้ามก็จริงอยู่ แต่ผมมีความรู้สึก หรือเหตุผลบางอย่างว่าทั้งสองนั้นสมารถที่จะอุดรูรั่วของอีกฝ่ายได้ แต่ตอนนี้ผมยังด้อยปัญญาอยู่ ต้องขอออกตัวก่อนเลยว่าผมเป็นแค่ผู้ศึกษาปรัชญาธรรมดาๆเท่านั้นการจะหาคำตอบต่อปัญหาก็จำกัดที่สติปัญญาอยู่ แต่ก็จะขอขอบคุณมากหากผู้ใดจะช่วยออกข้อเสนอแนะหรือร่วมกันแบ่งปันประสบการณ์ก็ยินดีอย่างยิ่งครับ

ผมเกือบลืมไปประเด็นที่อยากพูดสุดท้ายผมอยากจะตอบคำถามที่อาจารย์เคยถามไว้ว่า
“ในฐานะนักศึกษาปรัชญาเรามีอุดมคติว่าจะทำอย่างไรต่อสังคม” (อาจเขียนคำถามผิดต้องขออภัย)
แวบแรกที่เจอคำถามนี้ในห้องเรียน คำตอบแรกออกมาเลยครับ “ปฏิวัติ” ครับ ผมอาจจะโลภและหัวรุนแรงเกินไปนะครับ แต่ผมก็มีความคิดเสมอว่า ผมไม่เคยพอใจกับสังคมปัจจุบันที่ผมมากพอดู ความอยุติธรรมในสังคม ตั้งแต่ภาพใหญ่ถึงภาพเล็ก ตั้งแต่นักการเมืองถึงคนข้างบ้าน นอกจากความอยุติธรรมก็มีอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความไร้ระเบียบของสังคม การเอารัดเอาเปรียบจากชนชั้นที่สูงกว่า ความเห็นแก่ตัวของคนในสังคม เรื่องราวข่าวสารที่หลอกลวงและไร้สาระ (กว่าการ์ตูนชินจัง) ผมอาจจะคิดไปเอง แต่ผมอยากถามทุกท่านกลับว่าท่านพอใจสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้หรือไม่ แต่ไม่ต้องห่วงครับผมคงไม่วันดีคืนดี ถือ AK-47 ออกไปปฏิวัติหลอกครับ เพราะว่ามันเป็นแค่เพียงอุดมคติเท่านั้น ผมไม่ถึงขนาดคิดมากและบ้าตายหรอกครับ


เอาละครับครั้งผมคงต้องขอทิ้งท้ายแค่นี้ก่อนดีกว่า (เวลาขณะพิมพ์ตี ๓ กว่าแล้ว) สังขารเริ่มไม่เสถียรแล้ว โอกาสหน้ามาพบกันใหม่นะครับ Bye...Bye...

หนังสือแนะนำที่ควรอ่านเพิ่มเติม
ปรัชญาสังคมและการเมือง / สมภาร พรมทา.
ปวงปรัชญาจีน/ฟื้น ดอกบัว
******************************************************************************