วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

รัฐและสังคมอุดมคติ ? จากความจริงสู่ความฝัน (หรือเปล่า)


(ร่วมด้วยช่วยกัน...จากคนเบื่อโลก)

สวัสดีอีกครั้งนะครับชาวสยาม (และอาจจะไม่ใช่ชาวสยามด้วย) ครั้งนี้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ทุกท่านยังสบายดีกันไหมครับ เป็นห่วง ฝนตกบ้าง แดดออกบ้าง บางทีทั้งแดดทั้งฝนมาพร้อมกันซะงั้น ! ดูแลรักษาตัวด้วยนะครับด้วยความเป็นห่วง เอาละทักทายนิดหน่อยแต่พองามต่อจากนี้ก็จะขอนำเข้าสู่เนื้อหากันเลยนะครับ คราวนี้ผมจะมาเสนอในหัวเรื่องของ “สังคมในอุดมคติ” กันนะครับ ทุกท่านครับผมขอตั้งคำถามว่า ทุกท่านมี “ความฝัน” หรือไม่ครับ โดยเฉพาะเรื่องที่เราแทบจะบอกไม่ได้เลยหรือเชื่อได้เลยว่า “เป็นไปไม่ได้” ผมเชื่อว่าในคำถามนี้ทุกคนคงมีคำตอบอยู่ในใจเป็นแน่ครับ แต่นี่เป็นคำถามกว้างๆครับ เอาละผมจะลงลายละเอียดของคำถามให้เจาะจงมากขึ้นนะครับ เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นอยู่ในสังคมก็คือ “ทุกท่านมีความฝันเรื่องสังคมที่เป็นอุดมคติหรือไม่ครับ ?” ผมเชื่อว่ากว่า ร้อยละ 90 ต้องตอบว่ามีแน่ๆครับ ผมคิดว่าทุกคนต้องเคยคิดเรื่องเกี่ยวกับสังคมในอุดมคติมาบ้างแหละครับ แต่จะแสดงออกมา (เหมือนเช่น เพลโต อริสโตเติล มาร์ก เป็นต้น) และจัดระเบียบความคิดของตนออกมาได้หรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ทุกคนต้องผ่านประสบการณ์ตรงนี้มาบ้างแหละครับ ด้วยปัญหาที่ยกมานี้ผมคาดการณ์ว่าสาเหตุที่เป็นแรงผลักดันให้ทุกคนตั้งคำถามดังกล่าวนั้นก็เนื่องมาจากความคิดที่ว่า “เราพอใจในชีวิตความเป็นอยู่ของเราหรือไม่?” และก็มีหลายคนที่คิดไกลไปอีกว่า “เราพอใจในชีวิตความเป็นอยู่ของเพื่อนร่วมโลกของเราหรือไม่?” ผมคิดว่าทุกคนต้องเคยถามตัวเองบ้างละ (โดยเฉพาะพวกเราชาวสยามซึ่งอยู่ในสังคมนี้) แต่อาจจะมีบางท่านที่อาจจะ “พอใจ” กับชีวิตความเป็นอยู่เช่นนี้อยู่แล้วก็ไม่เป็นไรครับ นั่นเป็นสิทธิส่วนบุคคลของคนกลุ่มนั้น แต่ถ้าเป็นตามทัศนะของผมเองผมคงจะตอบอย่างแน่นอนเป็นที่สุดว่า “ไม่พอใจอย่างแรง!”

เอาละครับเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาที่จะต้องมาย้อนอดีตกันไปมาอีก ผมได้เคยเสนอไปก่อนแล้วนะครับว่าทัศนะทางการเมืองและสังคมนั้นได้ถูกแบ่งออกเป็นกระแสหลักๆอยู่สองสายด้วยกันนะครับนั่นก็คือ กลุ่มแรก กลุ่มที่ถือว่าสังคมการเมืองไม่ว่าจะเรียกว่ารัฐ ประเทศ หรืออะไรก็ตามที่เป็นที่รวมของปัจเจกบุคคล คนแต่ละคนที่มารวมกันอยู่นี้ต่างมีผลประโยชน์ที่จะต้องปกป้อง การอยู่รวมกันเป็นสังคมการเมืองในทัศนะของนักปรัชญากลุ่มนี้เปรียบเสมือนการทำสัญญา หรือกติกาที่ทุกคนร่วมกันสร้างขึ้น เป็นข้อตกลงร่วมที่ทุกฝ่ายทุกฝ่ายเห็นพ้องว่าอำนวยผลประโยชน์ให้ตนมากที่สุดหรือเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของตนให้ได้มากที่สุด กลุ่มที่สอง คือกลุ่มที่มองว่าสังคมการเมืองไม่ใช่ที่รวมของปัจเจกชนที่มีผลประโยชน์ส่วนตนอันจะต้องปกป้องรักษา แม้รัฐหรือประเทศจะประกอบด้วยปัจเจกมากมาย แต่ปัจเจกนั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของประเทศ ส่วนย่อยนี้ไม่มีความสำคัญเท่าส่วนรวม ประเทศสำคัญกว่าปัจเจกบุคคล ผลประโยชน์ของชาติต้องมาก่อนผลประโยชน์ของปัจเจก ส่วนเนื้อหาปลีกย่อยนั้นจะไม่ขอกล่าวถึงนะครับ แต่ที่สำคัญก็คือว่า ทั้งสองแนวความคิดนี้ ต่างฝ่ายต่างก็มีแนวความคิดของรัฐหรือสังคมในอุดมคติเหมือนกันครับ (แต่ว่ารูปแบบของรัฐและสังคมนั้นมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงครับ) ในทัศนะเรื่องรัฐในอุดมคตินั้นหากจะกล่าวไปก็เป็นเรื่องที่มีต้นกำเนิดมายาวนานมากถ้านับตามประวัติศาสตร์นั้นก็ตั้งแต่สมัยกรีกโบราณนะครับ คนที่นำยูโทเปียหรือรัฐในอุดมคติให้เห็นอย่างเป็นรูปเป็นร่างนั้นก็คือ เพลโต ผ่านงานเขียนเรื่อง อุดมรัฐ แต่ถ้าตามทัศนะของผมนั้นผมมองว่าในเรื่องรัฐในอุดมคตินั้นน่าจะเริ่มมาจากยุคก่อนเพลโตเสียอีก เช่น ปิทากอรัส เฮราคลิตุส และโสเครตีสเป็นต้น เอาละครับต่อจากนี้เรามาทำความเข้าใจในคำว่า “ยูโทเปีย” (Utopia) กันก่อนนะครับ

ยูโทเปีย ถูกนิยามความหมายจากพจนานุกรม Webster เอาไว้ดังนี้
1. ยูโทเปีย หมายถึง สถานที่แห่งความสมบูรณ์ในเชิงอุดมคติ และ
2. เป็นแบบแผนในจินตนาการสำหรับสังคมที่สมบูรณ์แบบสังคมหนึ่ง

Utopia มาจากคำในภาษากรีก eu-topia ซึ่งหมายถึง Good Place(สถานที่ที่ดี) และเสียงของคำนี้ยังพ้องกับคำ ou-topia ซึ่งหมายความว่า No place(ไม่ มีที่ใด)

ยูโทเปียนั้นเป็นแนวคิดเชิงอุดมคติเกี่ยวกับโลกอันสมบูรณ์ที่ โทมัส มอร์ (Thomas More) นักปรัชญามานุษยนิยมชาวอังกฤษ เขียนขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1516 ในยุคสมัยของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 แห่งราชวงศ์ทิวดอร์ (สมัยเดียวกับกรุงศรีอยุธยาตอนต้น) โดยเขียนขึ้นเป็นภาษาละตินและต่อมาได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษในปี 1551 โดยราล์ฟ โรบินสัน

มอร์ เป็นนักการศาสนาที่เคร่งครัด จนได้รับการสถาปนาเป็นนักบุญเมื่อปี 1935 และเป็นนักการเมืองมือสะอาด แต่มอร์ต้องเสียชีวิตจากการถูกประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 1535 สืบเนื่องจากความเห็นขัดแย้งทางการเมือง ต่อพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8

เขาเห็นความลำบากยากแค้นของประชาชน ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างขุนนางกับชาวนา ในขณะที่เขาดำรงตำแหน่งเป็นตัวแทนจากรัฐ ไปเจรจาการค้าที่แฟลนเดอร์ หลังจากที่พระเจ้าชาร์ลส์แห่งเนเธอร์แลนด์ ขึ้นภาษีนำเข้าขนสัตว์ในอัตราที่สูงลิ่ว

ระหว่างการเดินทาง มอร์เกิดแรงบันดาลใจให้นึกถึงหนังสือ Republic ของเพลโตที่ว่าด้วยการปกครองที่ดี และเมื่อย้อนนึกถึงความทุกข์ยากของอังกฤษในเวลานั้น มอร์จึงเขียนถึงสังคมในอุดมคติที่มีชื่อว่า "ยูโทเปีย (Utopia)" ขึ้น โดยตั้งใจเขียนเป็นวรรณกรรมเสียดสีล้อเลียนความโง่เขลาและความเลวร้ายของสังคมในสมัยนั้น สังเกตจากการตั้งชื่อต่างๆ อาทิ ยูโทเปีย มาจากภาษากรีก หมายถึงเมืองที่ดีหรือเมืองที่ไม่มี ณ แห่งหนใด (eu-topia = good place และพ้องเสียงกับความหมายที่ว่า no place เช่นกัน)

ยูโทเปียเป็นสังคมในฝันเพราะการสร้างค่านิยมในเรื่องการรักษาคุณธรรมและความพึงพอใจในการใช้ชีวิต ชาวยูโทเปียไม่ให้ความสำคัญกับวัตถุ โดยเห็นว่าเงินและทองเป็นสิ่งหยาบช้า ไม่มีค่า มีไว้สำหรับทำโซ่สำหรับทาส หรือจ้างคนชั่วไปทำสงครามแทน

นี่ละครับทุกท่านเป็นที่มาของคำว่า “ยูโทเปีย” ประเด็นต่อมาที่จะกล่าวถึงก็คือ เราคงได้ทราบมาแล้ว (และคงเรียนมาเยอะ) ว่าทัศนะทางสังคมและการเมืองนั้นถูกแบ่งเป็นสองอย่างชัดเจน แล้ว “รัฐและสังคมในอุดมคติ” ของทั้งสองแนวความคิดนี้จะเป็นอย่างไร ผมจะขอยกตัวอย่างที่ทุกท่านจะเห็นได้ง่ายๆกันก่อนนะครับนั่นก็คือ “รัฐหรือสังคมในแบบเสรีนิยมและทุนนิยม” ที่ผมยกมาก่อนแนวความคิดอีกกลุ่มหนึ่งเพราะว่าเราสามารถดูได้จากประเทศที่มีอยู่ในปัจจุบัน ที่ใช้แนวความคิดสายนี้ได้ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา นั่นเองเราจะสามารถเห็นความเป็นสังคมและรัฐได้ชัดเจนมากขึ้น ประชาชนมีสิทธิ มีเสรีภาพ รัฐบาลทำหน้าที่ปกป้องสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ประชาชนมีสิทธิเท่าเทียมกันแต่อยู่ที่ว่าใครจะใช้สิทธิของตนมากกว่ากัน ผมคิดว่าเหล่านี้ล้วนเป็นสาระของแนวคิดทางซีกนั้น และแน่นอนคือมีตัวอย่างให้เห็นกันแล้ว เราเห็นได้ชัดมาก (มากเกินไปด้วยซ้ำ) จะขอยุติในการกล่าวถึงสายความคิดนี้เพียงเท่านี้นะครับ

ต่อจากนี้ผมจะขอพูดถึงในแนวความคิดอีกสายหนึ่งกันบ้างนะครับ คราวนี้อาจจะเจาะลึกหน่อยนะครับเพราะผมมองว่าในโลกแห่งความเป็นจริงเรามีประเทศที่เป็น “รัฐและสังคมในอุดมคติ” ตามแบบฉบับของ “เสรีนิยมและทุนนิยม” กันมาแล้ว แต่ในฝั่งความคิดนี้ (โดยจะเน้นที่สังคมคอมมิวนิสต์ของ คาร์ล มาร์กซ์) ยังไม่อาจจะมีประเทศไหนเลยที่จะเป็น “รัฐและสังคมในอุดมคติ” เลยแม้แต่ประเทศเดียว แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านช่วงเวลาของ “สงครามเย็น” (สำหรับความหมายของคำว่าสงครามเย็นในพจนานุกรมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ได้ให้ความหมายไว้ว่า “สภาวะความตึงเครียดและความเป็นปฏิปักษ์กันอย่างรุนแรงระหว่างมหาอำนาจตะวันตกกับค่ายคอมมิวนิสต์ของยุโรปตะวันออก”) กันมาแล้วก็ตาม จนสงครามเย็นสิ้นสุด ทุนนิยมมีชัย แล้วอุดมการณ์แห่งสังคมคอมมิวนิสต์ละหายไปไหน ซึ่งแล้วแต่จะคิดกัน จากการศึกษาค้นคว้า เราได้แนวคิดต่อสังคมคอมมิวนิสต์ดังนี้

1. สังคมคอมมิวนิสต์ เป็นสังคมขั้นสุดท้าย เกิดขึ้นภายหลังจากที่บรรดานายทุนและผู้เลื่อมใสในระบบทุนนิยมถูกจำกัดโดยรัฐบาลแห่งชนชั้นกรรมาชีพ จนไม่หลงเหลืออยู่บนพื้นโลก เป็นสังคมที่บันดาลสันติภาพให้มีทั่วทั้งโลก และทุกคนมีความเสมอภาคกัน ความรู้สึกแห่งการเป็นปฏิปักษ์ต่อกันระหว่างชนชั้นจะไม่มีอีกต่อไป เพราะจะเหลืออยู่เพียงชนชั้นเดียวเท่านั้น คือชนชั้นกรรมาชีพ ซึ่งดำรงชีวิตสอดคล้องกับอุดมการณ์ของเขาและมนุษยชาติจะเริ่มสังคมคอมมิวนิสต์ใหม่และสมบูรณ์ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายปลายทางที่พลังแห่งการวิภาษในประวัติศาสตร์ได้นำมา
2. สังคมคอมมิวนิสต์ เป็นสังคมเอกภาพ ทุกคนเป็นพลเมืองของโลกเหมือนกันหมดไม่มีรัฐบาลอีกต่อไป ทุกคนจะมีเสรีภาพอย่างแท้จริงและประสบกับความเสมอภาคอย่างแท้จริงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้ว่าจะมีการยอมรับว่า คนบางคนจะมีความเสมอภาคในการบริหารประชาคมเหนือกว่าคนอื่นๆ แต่ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจอันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดจะมีอยู่ในสังคม คนทุกคนจะทำงานตามความสามารถของเขา และได้รับส่วนแบ่งของผลิตผลไปตามความจำเป็นในการครองชีพของเขา
3. คาร์ล มาร์กซ์ เชื่อว่า คนในสังคมคอมมิวนิสต์นี้ จะเป็นผู้มีคุณธรรมสูง มีความร่วมมือกันกับเพื่อนร่วมสังคมของเขาอยู่เสมอ บรรยากาศของการแข่งขันจะไม่มีอยู่ในสังคมนี้ ปัญหาทางการเมืองหรือความขัดแย้งระหว่างคนในสังคมจะไม่เกิดขึ้น เพราะปัญหาต่างๆ เหล่านั้นจะมีขึ้นก็ต่อเมื่อคนมีกรรมสิทธิ์ส่วนตัว หรือยังมีชนชั้นอยู่ในสังคม อันจะทำให้มีการเรียกร้องผลประโยชน์หรือสิทธิ สังคมคอมมิวนิสต์นี้เป็นสังคมที่มีสันติภาพอันถาวร
ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นต้องมีรัฐบาลคอยควบคุมความขัดแย้ง คนในสังคมจะร่วมมือกันปกครองตนเองอย่างมีความสุข
4. ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะได้รับการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ความเจริญของระบบการผลิตทำให้คนมีความสุขสบายขึ้น ทำงานน้อยชั่วโมงลง และมีเวลาสำหรับสนใจเรื่องอื่นๆ เช่น วัฒนธรรมมากขึ้น ความก้าวหน้าในวิธีการผลิต จะไม่เป็นโรคร้ายทำลายตัวเองเหมือนในระบบทุนนิยม เพราะสังคมที่จัดสรรผลิตผลที่ได้อย่างเหมาะสมแล้วจะไม่ประสบปัญหาการเฟ้อของผลผลิต การบริโภคต่ำ การว่างงานและภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ

ถ้าจะเปรียบเทียบทัศนะในเรื่องสังคมในอุดมคติของ มาร์กซ์ ก็คือ “คอมมิวนิสต์” กับของ โทมัส มอร์ ซึ่งก็คือ “ยูโทเปีย” นั้นค่อนข้างที่จะตรงกันมากในหลายๆประเด็นหลัก เช่น ความเสมอภาคอย่างแท้จริง การหลุดออกจากกรอบของ “ทรัพย์สิน” ความมีศีลธรรมและจริยธรรมแท้จริงของคนในชาติ เป็นต้น ฉะนั้นแล้วก็แทบจะเทียบกันได้ในระดับหนึ่งเลยว่า “ยูโทเปีย” ก็คือ “สังคมคอมมิวนิสต์” นั่นเอง และด้วยเหตุนี้นั้นทำให้ แนวคิดเรื่อง รัฐและสังคมในอุดมคติของฝ่าย “เสรีนิยมและทุนนิยม” นั้นจะยิ่งเป็นการห่างจากความเป็นอุดมคติมากขึ้นไปอีก เพราะรัฐและสังคมในแบบ “เสรีนิยมและทุนนิยม” นั้นแท้จริงก็เป็นเรื่องของความเป็นไปตามธรรมดาสามัญของสังคมมนุษย์ในปัจจุบันเท่านั้น ที่มีทั้งความเห็นแก่ตัว แก่งแย่งผลประโยชน์ มีกิเลส ตัณหาเป็นตัวครอบงำ
ซึ่งจะแตกต่างโดยสิ้นเชิงในความหมายของคำว่า “ยูโทเปีย”

ความคิดเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับ “ยูโทเปีย”

จากการที่ได้มีการศึกษาค้นคว้าทัศนะทั้งสองฝ่ายและการศึกษาถึงคำว่า “ยูโทเปีย” หรือจะเรียกว่า “รัฐและสังคมที่เป็นอุดมคติ” มาแล้วนั้นผมมีความคิดเห็นอย่างหนึ่งว่า รัฐและสังคมที่เป็นอุดมคติได้นั้นจะต้องไม่ใช่ทั้ง เสรีนิยมทุนนิยม หรือคอมมิวนิสต์ (รวมทั้งแนวคิดอื่นๆที่เคยได้ศึกษามา แต่ว่าไม่ได้กล่าวถึงเพราะว่าไม่อย่างนั้นตัวผมคงลาโลกไปก่อน แนวความคิดที่ว่านี้ เช่น อริสโตเติล, เล่าจื้อ, จวงจื้อ, ขงจื้อ, เม่งจื้อ, ฮั่นเฟยจื้อ, หรือในศาสนาพราหมณ์ เป็นต้น) “รัฐและสังคมที่เป็นอุดมคติ” แท้จริงนั้นจะต้องไม่ใช่ “เสรีนิยมทุนนิยม” เพราะผมมีความคิดว่า เสรีนิยมทุนนิยมนั้นไม่ได้สร้างอะไรเลยนอกจากปัญหา โลกปัจจุบันที่มีปัญหาก็เพราะการที่ทุกคนเอาแต่ใช้เสรีภาพของตนแสวงหาสิ่งที่เป็นทุน จนลืมมองว่าแท้จริงสิ่งที่เรากำลังทำอยู่มีผลกระทบต่อคนอื่นและโลกมากขนาดไหน คนๆเดียวสามารถทำร้ายมนุษย์ได้มากมายมหาศาลเพียงเพื่อ “ผลประโยชน์” ตามความคิดเห็นของผมมองว่าเสรีนิยมทุนนิยมนั้นมุ่งให้สังคมคงอยู่ในรูปของคำว่า “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” คนที่มีศักยภาพมากกว่าสามารถที่จะอยู่รอดได้ต่อไป คนที่อ่อนแอกว่าต้องยอมสยบให้ผู้ที่อยู่สูงกว่าหรือไม่อย่างนั้นก็ต้องตาย ผมคิดว่าผลผลิตที่ได้มาจากความเชื่อเหล่านี้จะนำไปสู่ “สังคมแห่งความกลัว” คนในสังคมมีความหวาดระแวงซึ่งกันและกันว่าจะถูกล่วงละเมิดสิทธิเมื่อไร ดังนั้นจึงควรมีรัฐ แต่นั่นก็ใช่ว่าความกลัวและหวาดละแวงจะหมดไป เพราะแท้จริงคติความเชื่อในเรื่อง “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” นั้นก็ต้องมีอยู่เสมอไปตราบเท่าที่มนุษย์ยังถือตนว่ามีสิทธิเสรีภาพอย่างไม่ประมาณตน และที่สำคัญผมคิดว่าในโลกของ “เสรีนิยมทุนนิยม” นั้นเปรียบเสมือนการ “ลดคุณค่าของความเป็นคน” ลงไปเปรียบได้กับสัตว์ที่มีความคิดเท่านั้น ถึงแม้ว่าผมจะมีทัศนะที่ไม่ได้มองว่ามนุษย์นั้นมีความสูงส่งกว่าสิ่งใดแต่ก็บอกได้อย่างเต็มปากว่าเราคือคน ผู้ซึ่งมีอารยธรรม ไม่ใช่เป็นเพียงแค่สัตว์ตัวหนึ่งเท่านั้น นี่คือมุมมองต่อฝ่าย “เสรีนิยมทุนนิยม” แต่ผมก็ไม่ขอปฏิเสธถึงเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ที่ยังคงมีกิเลส ตัณหา ความต้องการ และสัญชาติญาณ ในการเอาตัวรอดของคนแต่มุมมองของ “เสรีนิยมทุนนิยม” นั้นก็เป็นแค่มุมมองด้านเดียวเกี่ยวกับคนเท่านั้น (เช่นที่ฮอบส์สอนในเรื่องอันตนิยมที่ว่าธาตุแท้มนุษย์คือความเห็นแก่ตัว) และในมุมมองอีกด้านหนึ่งก็คือ ผมมองว่า คอมมิวนิสต์ ก็ไม่ใช่ทางที่จะไปสู่สังคมอุดมคติได้เช่นกัน เพราะผมคิดว่าสังคมคอมมิวนิสต์นั้นมันมีความเป็นอุดมคติที่มากเกินไป จนไม่สามารถเป็นจริงได้ เช่นเดียวกับความหมายของคำว่า “ยูโทเปีย” มันเป็นไปได้ยากที่คนจะไม่ขัดแย้งกับคน และการที่คนจะไร้ซึ่งการดิ้นรนเอาตัวรอด ต่อสู้ชีวิตในฐานะคนจะเป็นคนได้หรือไม่ ถ้าท่านได้มีโอกาส ผมขอแนะนำ animation เรื่องหนึ่งนะครับนั่นคือเรื่อง Wall E (พอดีว่าจำชื่อจริงๆไม่ค่อยได้ ถ้าเขียนผิดก็ขออภัยด้วย) ผมคิดว่าสภาพของมนุษย์ในเร่องนี้นั้น ก็ได้บ่งบอกถึงก้าวต่อไปของสังคมคอมมิวนิสต์เช่นกัน เมื่อเทคโนโลยีก้าวล้ำไปอย่างสุดจะจินตนาการ มนุษย์จะคงอยู่ในความเป็นมนุษย์ได้หรือไม่

ตามทัศนะของผมนั้นผมมีความคิดที่ว่า “รัฐและสังคมในอุดมคติ” นั้นต้องมีทางที่จะสามรถเป็นจริงได้นี่คือการให้กรอบทางความคิดของผม ผมคิดว่าหาก “รัฐและสังคมในอุดมคติ” นั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ “เป็นเพียงความฝัน” ที่ลมๆแล้งๆ ผมขอบอกเลยว่าผมคงจะไม่พยายามเสนอความคิดเกิน ๕ บรรทัดเป็นแน่ หากเป็นแค่เพียง ฝันที่ไม่มีหวังเป็นจริง ผมจะไม่ใส่ใจเลย นี่แหละครับคือการให้กรอบทางความคิดของผม ซึ่งยูโทเปียของผม ผมไม่ได้ต้องการให้เห็นได้แค่ในความฝันเท่านั้น แต่ต้องมีคุณค่าและเป็นจริงได้

เอาละครับทุกท่านคราวนี้ผมจะมาเปิดความคิดของผมกันละครับว่า “ยูโทเปีย” ในแบบฉบับที่ผมคิดนั้นเป็นอย่างไร ตามความคิดของผมนั้นผมมองว่าแก่นแท้จริงของ “รัฐและสังคมในอุดมคติ” นั่นก็คือ “ธรรม” นั่นเองครับ เป็นคำตอบเดียวที่เรียบง่าย กระชับ ได้ใจความ ถึงแม้ว่าคนจะมีความแตกต่างกันมากแค่ไหนก็ตาม เชื้อชาติ ประเทศ ศาสนา ถ้าหากแต่ทุกคนมี “ธรรม” เห็นอกเห็นใจกัน ช่วยเหลือกัน เท่านี้ก็เป็น “ยูโทเปีย” ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ เพราะนั่นมิได้หมายความว่ามันทำให้คนจิตใจสูง สำคัญที่สุดคือ “อยู่ที่ใจคน” ต่างหากและถือเป็นการพัฒนาที่มั่นคงและยั่งยืนด้วย นี่ละครับ “รัฐและสังคมในอุดมคติ” ตามแบบฉบับของผมเลย ไม่ยากนะครับ แต่ไม่ง่าย แค่ขอความร่วมมือจากคนทั้งโลก ไม่ต้องสร้างอะไรใหม่ และไม่ต้องทำลายอะไรเลย
แค่นี้ก็ถือเป็น “รัฐและสังคมในอุดมคติ” ได้แล้วละครับ

หมายเหตุ: ที่เสนอมาทั้งหมดนี้ในบางทีก็เป็นอคติของผมเองแหละครับ ยากนะครับพูดเรื่องการเมือง สังคม จะไม่ใส่อคติตัวเองไป แต่ก็ดีนะครับ อย่าเก็บไว้เลยครับแสดงออกมาเถอะ แต่แสดงออกในทางที่สร้างสรรค์นะครับ

คุยก่อนลา

เอาละครับผมขอจบหัวข้อด้วยประการฉะนี้นะครับ โอย...เสนอมาซะยืดยาว จะโดนใจบ้างหรือเปล่าก็ช่วยบอกทีนะครับ เป็นอีกครั้งที่หนักใจตอนทำ และ รู้สึกสบายใจด้วย เพราะอยากจะลองทำเรื่องนี้มานาน เป็นไงทำหายอยากเลย ใครที่อ่านมาได้ถึงตรงนี้ผมก็ต้องขอชื่นชมอย่างแรงเลยนะครับ คุณเยี่ยมมาก มีความอดทนเป็นเลิศจริงๆ ถึงตอนนี้ผมคงต้องขอกล่าวลาแล้วละครับ ตอนที่ทำบทความอยู่ ช่วงเวลานี้คือ ตี ๓ นะครับคงจะทนต่อไปบ่ไหวแล้วครับ
ต้องขอขอบคุณที่อ่านและขอให้มีความสุขกันถ้วนหน้านะครับ...Bye...

ทุกคนมีสิทธิที่จะฝันใช่ไหมครับ......................................

ป.ล. ถึง อาจารย์ยิ่งยศ
ผมคิดว่าอาจารย์เป็นอย่างนี้ดีแล้วครับ สนุกและได้สาระ ดีครับ
ถ้าอาจารย์มีเวลาว่างมาเปิดวิชาเรียนเพิ่มอีกสักวิชาก็ได้นะครับแล้วจะลงเรียน

ข้อมูลเพิ่มเติม
http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2008q3/2008september24p3.htm
http://creatures.igetweb.com/index.php?mo=3&art=162317
http://www.tortaharn.net/contents/index.php?option=com_content&task=view&id=129&Itemid=76
ชัยวัฒน์ อัตพัฒน์, รศ. (๒๕๔๗). ปรัชญาตะวันตกสมัยใหม่ ๒ (พิมพ์ครั้งที่ ๕). สำนักพิมพ์
มหาวิทยาลัยรามคำแหง

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การปฏิวัติ กับ CODE GEASS


วันนี้พบกันอีกครั้งแล้วครับ นี่ก็เป็นครั้งที่สองแล้วครับที่มาเจอกัน ตอนแรกก็ตั้งใจอยู่นะครับว่าจะเขียนเรื่อง "สังคมในอุดมคติ" แต่ว่าวันนี้เกิดของขึ้นหรือไม่แต่ประการใดขอยกยอดไว้เป็น วันอื่นแล้วกันครับ แต่สัญญาว่าจะเร็วๆนี้แน่ครับ แต่คราวนี้ผมจะขอพูดถึงเรื่อง "การปฏิวัติ กับ CODE GEASS" กันก่อนนะครับ เนื่องจากวันนี้ได้เรียนวิชาปรัชญาและสังคมมา ประเด็นหลักที่สะกิดใจมากที่สุดคือ เรื่องการปฏิวัติของลัทธินีโอมาร์กซิสต์ที่มีต่อสภาพสังคมทุนนิยม ผมคงไม่ลงรายละเอียดแต่พอบอกได้ว่า ลัทธิมาร์กซเดิมนั้นมีแนวคำสอนให้กรรมาชีพปฏิวัติโดยใช้อาวุธ หรือนั่นก็คือความรุนแรงนั่นเองครับพี่น้อง แต่การปฏิวัติตามแบบของลัทธินีโอมาร์กซิสต์นั้น จะปฏิวัติโดยการปลูกฝังความคิดแบบของลัทธิมาร์กซิสต์แทนการใช้ความรุนแรงนั่นเองครับ โดยมีเป้าหมายพื้นฐานเพื่อการปฏิรูปสังคมสู่สังคมที่มีความยุติธรรม อย่างค่อยเป็นค่อยไป

ผมขอออกตัวว่าผมยังไม่ได้มีแนวคิดเรื่องรัฐหรือสังคมในอุดมคติอย่างจริงจังมากนัก และการจะหาคำตอบได้ชัดเจนก็คงต้องใช้เวลาสักหน่อย ในตอนแรกที่ผมยกแนวคิดของลัทธินีโอมาร์กซิสต์ขึ้นมา ผมไม่ได้มีเจตนาจะพูดถึงหรือต้องการโลกคอมมิวนิสต์ แต่ที่ต้องการก็คือ การได้พูดถึง "การปฏิวัติสังคม" ในการยกลัทธินีโอมาร์กซิสต์ขึ้นมาก็เป็นเพียงตัวอย่างนะครับ

จากบทความเดิมหลายท่านคงเดาออกว่าผมเป็นคนประเภทที่ไม่พอใจความเป็นอยู่ของสังคมและการเมือง(โดยเฉพาะสยามประเทศครับ ! เพราะผมเองก็เป็นหนึ่งในปวงชนชาวสยามเช่นเดียวกับหลายๆท่านที่ได้อ่าน)ในปัจจุบันครับ การที่ผมเป็นคนแบบนี้นั้นก็มาจากสิ่งภายในก็คือแนวคิดของตนเอง และสิ่งภายนอกก็คือข้อมูลข่าวสารที่ได้มา เมื่อมีการพูดถึงการปฏิวัติขึ้นมาก็สะกิดใจอย่างแรง ผมคิดว่าผู้ใช้อำนาจหรือผู้ปกครองของเราทำอะไรกันอยู่ เราเคยตั้งคำถามกับคนเหล่านั้นหรือไม่ ถึงเคยเขาก็ไม่เคยตอบ และแม้ว่าเขาจะตอบเขาก็ตอบแบบตอหลด การที่เรามีผู้ใช้อำนาจหรือผู้ปกครองแบบนี้ผมไม่เคยพอใจเลย (โดยเฉพาะตั้งแต่มาได้เรียนปรัชญา) คนเหล่านั้นแท้จริงต้องทำเพื่อปวงชนอย่างเราสิ มันทำให้เกิดปัญหามากมาย อาธิ เช่น ท่านเคยสงสัยไหมว่าทำไมเราเกิดมาเราก็เป็นหนี้แล้ว ทำไมเงินภาษีที่ต้องเป็นของปวงชน ท่านเหล่านั้นจึงเอาไปกินเสียหละ ทั้งที่เป็นเงินภาษีของพ่อและแม่ของเรา และในอนาคตเราเองด้วยที่จะต้องเสียภาษีเช่นกัน เป็นต้น ผมคิดว่าคนพวกนี้เป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ครับ ผมเรียกว่า "ชูชกซาเปียน" ครับ กินได้กินดีไม่กลัวท้องแตก แดกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก...กันเข้าไป (ข้อโทษครับที่ไม่สุภาพ)

หลังจากการพรรณาอย่างยืดยาวและของขึ้นมาแล้วผมอยากจะถามทุกท่านครับว่า ท่านชอบดู Animation หรือไม่ครับ ? หัวเรื่องที่ผมได้ยกมาใบบทความนี้คือ"การปฏิวัติ กับ CODE GEASS" ครับ ผมอยากจะยก Animation ดีๆมาแนะนำให้พวกท่านทั้งหลายนะครับนั่นคือ "Code Geass: Lelouch of the Rebellion" หรือในชื่อภาษาไทยก็คือ "โค้ด กีอัส ภาคการปฏิวัติของลูลูช " เนื้อเรื่องคร่าวๆ มีดังนี้ครับ

ในวันที่ 10 เดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 2010 จักรวรรดิบริททานเนียได้โจมตีญี่ปุ่นด้วยหุ่นยนต์รุ่นใหม่ ไนท์แมร์เฟรม ทำให้ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ และเสียชื่อประเทศและอิสรภาพไป ประเทศญี่ปุ่นถูกเรียกว่า Area 11 (แอเรีย สิบเอ็ด) และคนญี่ปุ่นถูกเรียกว่า ชาว 11 (อีเลฟเว่น) ชาวอีเลฟเว่นถูกบังคับให้อาศัยอยู่ในถิ่นที่เสื่อมโทรม ในขณะที่ชาวบริททานเนียเข้ามาอาศัยในบ้านเรือนที่หรูหรา อย่างไรก็ตาม มีชาวญี่ปุ่นหลายกลุ่มที่ตั้งตัวเป็นกบฏ ต่อต้านบริททานเนีย เพื่ออิสระของญี่ปุ่น

7 ปีต่อมา ลูลูช นักเรียนโรงเรียนแอชฟอร์ดคนหนึ่ง ได้เข้าไปพัวพันกับกลุ่มกบฏในแอเรียสิบเอ็ด และพบกับหญิงสาวลึกลับ นามว่า ซีทู ผู้มอบพลังของกีอัสให้กับเขา ทำให้เขามีพลังที่จะต่อสู้กับบริททานเนีย แก้แค้นให้มารดาของเขา และสร้างโลกที่อ่อนโยน ที่นันนาลี่ น้องสาวของเขา จะอยู่ได้อย่างสงบสุข จนเขาได้รู้ความจริงว่าเพื่อนรักของเขาหรือสุซาคุนั้นต้องมาเป็นศัตรูกันเนื่องจากสุซาคุได้ไปเป็นทหารของบริททาเนียนเขาจึงต้องอยู่ภายใต้หน้ากากและภายใต้นามว่า ซีโร่ และได้ก่อตั้งภาคีอัศวินดำขึ้น และสมรู้ร่วมคิดกับ ซีทู เรื่อยมาจนความจริงและตัวตนของเขาเปิดเผยโดยเพื่อนรักของเขาเอง

ที่ผมยกประเด็นใน Animation เรื่องนี้ขึ้นมาก็คือว่า ผมคิดว่าเราจะยอมทนอยู่อย่างทุกข์ระทมแบบนี้ต่อไปหรือครับ ทำไมเราต้องยอมใช้ชีวิตแบบที่เป็นเหมือนกับของเล่นของคนเพียงกลุ่มเดียวซึ่งถ้าเทียบกับคนธรรมดาสามัญอย่างพวกเรานั้นพวกเขาเป็นเพียงคนกลุ่มเล็กๆเท่านั้น ทำไมถึงปิดกั้นความปรารถนาของตนเองและยอมใช้ชีวิตแบบไม่มีปากมีเสียงและวิ่งไปตามคำสั่งของคนเหล่านั้น ตัวละครลูลูชเป็นเพียงแค่คนๆเดียวเท่านั้น แม้ว่าจะมีพลังพิเศษก็ตามที สำหรับคนที่เคยดูแล้วจะรู้ว่า พลังเหนือธรรมชาติที่เขามี หาใช่เนื้อหาสาระที่ลูลูชจะแข็งแกร่งจนสามารถท้าทายจักรวรรดิบริททานเนียได้ (ในเรื่องกล่าวว่าบริททานเนียได้ยึดครองดินแดน 1 ใน 3 ของโลก) หากแต่มาจากแรงปรารถนาที่จะปฏิวัติ ความหวังที่จะสร้างโลกที่ปลอดภัยแก่น้องสาวจากการหลอกใช้และกดขี่ และการที่กล้าที่จะท้าทายต่อชะตากรรมของตน เหล่านี้คือแก่นอันแท้จริงของพลังที่ลูลูชมี ! และตัวพวกเราละ ?

ในการเขียนบทความครั้งนี้ผมขอยกประโยชน์ให้กับ Animation เรื่องนี้จริงๆครับถึงแม้ว่าการคร่าชีวิตคนจะเป็นเรื่องที่ผิดก็ตาม แต่ความกล้าที่จะต่อสู้มันช่างน่าสรรเสริญยิ่งนักครับ หลังจากที่ผมได้ดูเรื่องนี้มันทำให้ผมมีความกล้าที่จะวิพากษ์สังคมขึ้นมา (แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่การพูดคุยระหว่างเพื่อน คนรอบข้าง หรือการทำ Blog ก็ตามที) การที่เราได้ตัดสินใจที่จะทำมันมีคุณค่ากว่าเราไม่เคยตัดสินใจที่จะทำเลย Animation เรื่องนี้สอนให้ผมรู้อะไรมากมายหากทุกท่านได้มีโอกาสชม รับประกันว่าไม่ผิดหวังครับ

และในท้ายสุดนี้ผมหวังว่า ถึงแม้เราจะไม่สามารถปฏิวัติสังคมที่เราอยู่ได้ก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ขอให้บทความนี้เป็นสิ่งที่จุดประกายแก่ท่านๆทั้งหลายที่ได้มาเข้าชมว่าถึงแม้จะไม่สามารถปฏิวัติในความเป็นจริงได้แต่ท่านก็สามารถที่จะปฏิวัติความคิดของท่านและคนรอบกายท่านได้ แม้ว่าจะเริ่มเพียงกลุ่มคนเพียงน้อยนิดก็ตาม แต่นั่นก็ดีกว่าการไม่ทำอะไรเลยและยอมแพ้ต่อความเป็นไป อนาคตของเรา เรากำหนดเองได้ แม้เป็นเพียแค่งความคิดก็ตาม ..........

..........แต่ความเป็นจริงนั้นก็เป็นสิ่งที่มีจุดเริ่มต้นมาจากความคิดนั่นแล

ข้อมูลเพิ่มเติม
http://www.midnightuniv.org/midnight2545/document95223.html
http://en.wikipedia.org/wiki/Code_Geass

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ทัศนะ ๒ ขั้ว ปรัชญาว่าด้วยคน สังคมและการเมือง ประชันกัน ! ...ใครชนะ


(ร่วมด้วยช่วยกัน...โดยชาวสยามรุ่น ๒๕๕๒)

ขอยินดีต้อนรับชาวโลกทุกท่านสู่พื้นที่เล็กๆ (เล็กจริงๆ) เพื่อมาระดมความคิดหลายๆหัว ได้มาดูเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ ประเทืองปัญญาวันละนิด (เพื่อปัญญาจะได้ไม่ง่อยรับประทาน...เพราะวันๆไม่ค่อยได้ใช้) นี่ถือเป็นบทความที่นำมาใส่เป็นชิ้นแรกของผม ที่เขียน (หรือต้องเรียกว่าพิมพ์สิ) อย่างจริงๆจังๆสักหน่อย ในย่อหน้าแรกก็ขอทักทายอย่างสบายสมองกันก่อนนะครับ ก่อนที่เราจะเข้าสู่เนื้อหาหลักกันต่อจากนี้ ถ้าจะว่ากันจริงๆ Blog นี้ก็เริ่มมาจากงานที่ อาจารย์ยิ่งยศ เทพจำนงค์ เป็นผู้สั่งให้ทำ โดยเกี่ยวเนื่องกับวิชา ปรัชญาสังคมและการเมือง โดยที่ให้สร้าง Blog เพื่อนำเสนอแนวความคิดที่เกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียน...สู่สายตาชาวโลก!... ฉะนั้นแล้วจึงจัดทำขึ้นมาจนสำเร็จ แต่เป็นไปในแบบแค่มือใหม่หัดทำ เพราะเป็นคนที่ใช้คอมแค่ไม่กี่อย่าง (เช่นพิมพ์งาน ดูหนัง และอะไรอีกไม่มาก) แต่ก็คิดว่าถ้าทำต่อไปเรื่อยๆคิดว่าคงชำนาญขึ้น แต่ถึงแม้ว่า Blog นี้จะถูกทำขึ้นมาเพื่อเป็นงานส่งในวิชาเรียนก็ตาม แต่ตัวผมก็มีความประสงค์ให้พื้นที่เล็กๆนี้ได้เป็นพื้นที่ที่ทุกคนสามารถจะแสดงออกได้อย่างอิสระ ทั้งตัวผมเองและทุกท่านที่ได้มาเข้าชม เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้และทัศนะต่างๆให้ทุกท่านและตัวผม ผมหวังว่าบทความของผมนั้นจะสามารถเปิดโลกทัศน์ของทุกท่านได้บ้าง แม้จะไม่มากก็ตาม นี่เป็นความหวังของตัวผมเอง (นักทำ Blog มือใหม่)
เอาละหลังจากทักทายกันมามากพอแล้วตัวผมก็จะขอเข้าสู่เนื้อหากันละครับ

กระแสของความคิดนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หัวข้อหนึ่งที่เป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างมากก็คือเรื่องของแนวความคิดทางสังคมและการเมืองนี่ละครับ ที่ดูจะเก่าแก่ที่สุดตามหลักฐานที่มีการศึกษาสืบต่อกันมาโดยที่ผู้ศึกษาปรัชญานั้นทราบดีก็คือเริ่มจากสมัยกรีกโบราณ จวบจนยุคปัจจุบันที่ผมและชาวโลกทุกท่านมีชีวิตอยู่ แม้จะผ่านมานานเป็นพันๆปีก็ตามแต่ปัญหาเรื่องแนวความคิดทางสังคมและการเมืองนั้นก็ยังไม่อาจหาทางที่สิ้นสุดได้ นั่นเป็นเพราะอะไรนั้นผมคงจะไม่ขอกล่าวหรือสรุปในตอนนี้


ก่อนอื่นผมจะขอกล่าวถึงกระแสที่ถือว่าเป็นกระแสทางความคิดที่เป็นหลักในเรื่องแนวความคิดทางสังคมและการเมือง ซึ่งนับมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แนวความคิดทางสังคมและการเมืองได้ถูกแบ่งแยกออกเป็น ๒ กลุ่มที่มีแนวความคิดอย่างชัดเจนที่สุด นั่นคือ

กลุ่มแรกกลุ่มที่ถือว่าสังคมการเมืองไม่ว่าจะเรียกว่ารัฐ ประเทศ หรืออะไรก็ตามที่เป็นที่รวมของปัจเจกบุคคล คนแต่ละคนที่มารวมกันอยู่นี้ต่างมีผลประโยชน์ที่จะต้องปกป้อง การอยู่รวมกันเป็นสังคมการเมืองในทัศนะของนักปรัชญากลุ่มนี้เปรียบเสมือนการทำสัญญา หรือกติกาที่ทุกคนร่วมกันสร้างขึ้น เป็นข้อตกลงร่วมที่ทุกฝ่ายทุกฝ่ายเห็นพ้องว่าอำนวยผลประโยชน์ให้ตนมากที่สุดหรือเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของตนให้ได้มากที่สุด

กลุ่มที่สอง คือกลุ่มที่มองว่าสังคมการเมืองไม่ใช่ที่รวมของปัจเจกชนที่มีผลประโยชน์ส่วนตนอันจะต้องปกป้องรักษา แม้รัฐหรือประเทศจะประกอบด้วยปัจเจกมากมาย แต่ปัจเจกนั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของประเทศ ส่วนย่อยนี้ไม่มีความสำคัญเท่าส่วนรวม ประเทศสำคัญกว่าปัจเจกบุคคล ผลประโยชน์ของชาติต้องมาก่อนผลประโยชน์ของปัจเจก

จากที่ได้แสดงให้เห็นแล้วนั้นว่าแต่ละกลุ่มนั้นมีโลกทัศน์แบบใด นั่นเองก็ได้นำไปสู่การมีโลกทัศน์ในเรื่องอื่นๆที่แตกต่างกัน คราวนี้เราจะมาทำความรู้จักและทำความเข้าใจความคิดในกลุ่มแรกกันก่อน โดยที่นักปรัชญาในกลุ่มนี้นั้น จะประกอบไปด้วย โทมัส ฮอบส์, จอห์น ล็อค, จัง-จาคส์ รุสโซ ซึ่งทั้งหมดเป็นนักปรัชญาตะวันตก และยังมีนักปรัชญาตะวันออกที่มีแนวคิดที่คล้ายคลึงแบบนักปรัชญาตะวันตกที่กล่าวมาแล้วด้วยเช่นกันคือ ฮั่นเฟยจื้อ เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนผมจะขอกล่าวลักษณะโดยรวมของปรัชญาในสายนี้ว่ามีโลกทัศน์แบบใดเพื่อง่ายต่อการศึกษา
โลกทัศน์เรื่องมนุษย์ นักปรัชญาสายนี้มีความเชื่อว่า มนุษย์นั้นมีความเห็นแก่ตัวทุกคน เมื่อมนุษย์ทุกคนมีความเห็นแก่ตัวนั่นทำให้เกิดการแก่งแย่งและต่อสู้ขึ้นได้ ฉะนั้นแล้วมนุษย์จึงได้มารวมกลุ่มกันเกิดเป็นสังคมเป็นรัฐขึ้นมา และที่สำคัญคือ ได้มีการร่วมกันตั้งกฎกติกา เพื่อพิทักษ์ปกป้องสิทธิเสรีภาพและเพื่อให้เกิดความปลอดภัยของปัจเจกชนในสังคมหรือรัฐนั้นๆขึ้น การทำเช่นนี้เป็นการลดทอนสิทธิเสรีภาพของปัจเจกชนทุกคน แต่ว่าสิ่งที่ได้มานั้นก็คือความปลอดภัย และการรับประกันว่าสิทธิเสรีภาพของเราจะไม่ถูกละเมิดโดยผู้อื่น ปัญหาต่อมาก็คือในเรื่องของ “ผู้ปกครอง” กับ “กฎหมาย” ในหัวเรื่องนี้นักปรัชญาแต่ละท่านได้มีความเห็นและคำอธิบายที่แตกต่างกันออกไป (โดยเฉพาะกับ ของฮั่นเฟยจื้อ เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับในปรัชญาตะวันตกนั้น ทางนักปรัชญาตะวันตกจะมีความเห็นเรื่อง “ผู้ปกครองจะต้องมาจากประชาชน” โดยที่ประชาชนเป็นผู้เลือกขึ้นมาเป็นนักปกครอง ซึ่งในวัฒนธรรมของจีนในสมัยของท่านฮั่นเฟยจื้อนั้น เป็นระบอบแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั่นเองก็เป็นข้อที่แตกต่างกันมาก แต่ที่ผมจับทัศนะของ
ฮั่นเฟยจื้อมารวมก็เพราะว่าทัศนะของท่านมีมุมมองที่มองแก่นแท้ของมนุษย์คล้ายกับทัศนะทางนักปรัชญาตะวันตก เมื่อเป็นเช่นนั้นการจะอยู่รวมกันจึงจำเป็นต้องมี “กฎหมาย” เพื่อความเป็นระเบียบของรัฐ) ยกตัวอย่างเช่น ผู้ปกครองต้องมาจากประชาชน หน้าที่ของผู้ปกครองคือการบังคับใช้กฎ แต่มีมีสิทธิในการออกกฎ (ตามทัศนะรุสโซ) ประชาชนสามารถถอดถอนผู้ปกครองได้เมื่อผู้ปกครองไม่ทำตามกระแสของปวงชน และผู้ปกครองต้องไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน เป็นต้น แต่ในส่วนหัวเรื่องหลักๆนั้นก็ถือว่าคล้ายคลึงและอยู่ในประเภทเดียวกัน


คราวนี้เราจะมาทำความรู้จักและทำความเข้าใจความคิดในกลุ่มที่สองกันต่อ นักปรัชญาที่มีแนวความคิดทางสายนี้คือ คาร์ล มากซ์ ซึ่งตามทัศนะนี้จะเป็นการมองตรงกันข้ามกับแนวคิดในกลุ่มที่หนึ่งอย่างชัดเจน ในทัศนะที่หนึ่งนั้นยอมรับว่ามนุษย์มีความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน และรักตัวเอง แต่ในกลุ่มที่สองนี้จะมองไม่เหมือนกัน ถ้ามองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์เราจะพบว่าได้มีมนุษย์ที่ยอมยากลำบาก อุทิษตนเพื่อช่วยเหลือมนุษยผู้อื่นมากมาย เช่น พระพุทธเจ้า พระเยซู คานธี รวมถึงเหล่านักรบที่สู้รบเพื่อปกป้องบ้านเมือง (เช่นเหตุการณ์ในสามจังหวัดชายแดนใต้ของไทย หรือในภาพยนต์เรื่อง 300 เป็นต้น) จริงอยู่ที่คนเหล่านั้นอาจทุ่มเทและเสียสละเพราะนั่นคือ ประเทศ หรือ รัฐ ของตนก็ตาม แต่การกระทำเช่นนั้นคงจะไม่มีใครเรียกว่าความเห็นแก่ตัวแน่ มากซ์ มองว่าปัจเจกบุคคลมีสองภาวะ ภาวะแรกคนทุกคนต่างเป็นตัวของตัวเอง และภาวะที่สองคนทุกคนคือส่วนหนึ่งของสังคม มากซ์เชื่อว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม เป็นสัตว์ที่มีความสำนึกในเผ่าพันธุ์ตนเอง ดังนั้นในการดำรงชีพคนแต่ละคนแม้จะขวนขวายเพื่อให้ตนเองอยู่รอดก็ตาม แต่คนในขณะเดียวกันคนแต่ละคนก็ขวนขวยเพื่อสังคมด้วย หากมนุษย์มีแต่ความเห็นแก่ตัว
ไม่มีคุณสมบัติกล่าวคือการเป็นสัตว์สังคมและสัตว์ที่มีความสำนึกในเผ่าพันธุ์พวกพ้อง สิ่งที่เรียกว่าอารยธรรมจะเกิดขึ้นไม่ได้ ฉะนั้นรัฐหรือประเทศในทัศนะของนักปรัชญากลุ่มนี้มีความหมายมากกว่าปัจเจกบุคคล ดังที่ได้กล่าวไปตอนต้นแล้วนั้นว่าปัจเจกนั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของประเทศ ส่วนย่อยนี้ไม่มีความสำคัญเท่าส่วนรวม ประเทศสำคัญกว่าปัจเจกบุคคล ผลประโยชน์ของชาติต้องมาก่อนผลประโยชน์ของปัจเจก หากเกิดความขัดแย้งในผลประโยชน์ระหว่างปัจเจกกับรัฐขึ้น ผลประโยชน์ของรัฐจะต้องมาก่อนเสมอ แนวคิดทางสายนี้สามารถรวมแนวคิดทางการเมืองการปกครองแบบศาสนาพราหม์ในสมัยอินเดียโบราณ และแนวคิดของเพลโต้ ในเรื่องอุดมรัฐได้ด้วยเพราะมีลักษณะโดยให้ความสำคัญของปัจเจกน้อยกว่ารัฐเช่นเดียวกัน


เราได้เข้าใจทัศนะของทั้งสองฝ่ายมาแล้ว เราจะเห็นได้ว่าทัศนะของทั้งสองนั้นมีทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งที่แตกต่างกัน ขอย้ำในคำว่าจุดอ่อนและจุดแข็ง นั่นแปลว่าทั้งสองทัศนะ ไม่มีทัศนะใดที่สมบูรณ์แบบจริงๆ (ซึ่งนั่นเองอาจจะตอบปัญหาเรื่องแนวความคิดทางสังคมและการเมืองนั้นยังไม่อาจหาทางที่สิ้นสุดได้เช่นกันแต่ยังไม่เพียงพอที่จะสรุปได้) แต่คงเป็นเรื่องยากที่จะชี้ลงไปได้ว่าอย่างใดดีกว่า เพราะนี่เป็นปรัชญาสังคมและการเมือง เมื่อขึ้นมาว่าสังคมและการเมือง สิ่งที่ตามมาแน่นอนก็คือ จำต้องมี “ผู้ปกครอง” และ “ผู้ถูกปกครอง” ทั้งสองคือตัวแปรที่สำคัญ อย่างที่กล่าวไปทัศนะทางปรัชญาสังคมและการเมืองของทั้งสองนั้นมีทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งที่แตกต่างกัน เป็นเรื่องยากที่จะชี้ว่าใครดีกว่า ได้มีนักคิดมากมายพยายามบอกกล่าวว่าฝ่ายนั้นดีกว่าบ้างฝ่ายนี้ดีกว่าบ้าง บ้างก็ว่าแนวคิดในกลุ่มที่สองเป็นจริงไม่ได้บ้างละ แนวคิดในกลุ่มแรกก็โดนกล่าวในแบบเดียวกัน แต่ถ้ามองให้ดี แนวคิดทั้งสองนั้นถึงแม้ว่าจะขนานกัน ไม่สัมพันธ์กัน แต่ว่าตั้งอยู่บนระนาบเดียวกัน หากตัดรายละเอียดปลีกย่อยของแต่ละแนวคิดออดไป สิ่งที่แนวคิดในกลุ่มแรกต้องการก็คือรัฐที่มีคุณภาพ ปัจเจกที่มีคุณภาพ และความมีระเบียบเรียบร้อยหรือไม่ คำตอบก็คือใช่ และแนวคิดของกลุ่มที่สองจะต้องการผลที่เป็นคำตอบเดียวกันหรือไม่ คำตอบก็คือใช่ ทั้งสองแนวคิดนี้แท้จริงแล้วต้องการสิ่งเดียวกันนั่นเองหาใช่เรื่องอื่นใด ฉะนั้นแล้วทัศนะทั้งสองจึงมิได้เหลื่อมล้ำกันแต่อย่างใด
แต่เราได้เห็นตัวอย่างทั้งในอดีตและปัจจุบันมาแล้วว่าได้มีหลายๆประเทศที่ได้ใช้ปรัชญาทั้งสองแบบนั้นมาปกครองประเทศ แต่ว่าทำไมถึงยังคงเกิดความวุ่นวายและไร้ระเบียบกันอยู่ ถ้าเราจะมาดูที่ตัวปรัชญาของแต่ละฝ่ายว่าผิดพลาดและไม่สมบูรณ์หรือไม่ คำตอบคือนั่นก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ว่าไม่มีปรัชญาใดที่สมบูรณ์อยู่แล้วซึ่งเป็นเรื่องที่คนที่นำปรัชญามาใช้ต้องรู้อยู่แล้วซึ่งนั่นจะทำให้เกิดการพัฒนาแนวคิดมากขึ้นเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด แต่ทำไมก็ยังเกิดปัญหาขึ้นอีกและร้ายแรงมากขึ้นด้วย (เช่นวิกฤตการณ์การเงินของสหรัฐอเมริกาที่ร้ายแรงมาก เป็นต้น) บางทีปัญหามิได้อยู่ที่แนวคิด ปรัชญา หรือตัวของระบบ ผมได้กล่าวไปแล้วว่า “ผู้ปกครอง” และ “ผู้ถูกปกครอง” ทั้งสองคือตัวแปรที่สำคัญ แท้จริงแล้วปัญหาทั้งหมดนั้นอยู่ที่ตัวแปรสองตัวนี้เท่านั้น หาก“ผู้ปกครอง” และ “ผู้ถูกปกครอง” นั้นไม่ฝ่าฝืนระบบ ไม่ว่าจะเป็นละหรือทำเกินกว่าหน้าที่ หรือการหวังแต่ผลประโยชน์ส่วนตน ปัญหาก็จะไม่เกิด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดมากเช่น เพราะความโลภทำให้อเมริกาต้องประสบปัญหาเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เป็นต้น


คำถามที่เราถามในตอนต้นก็คือปัญหาเรื่องแนวความคิดทางสังคมและการเมืองนั้นยังไม่อาจหาทางที่สิ้นสุดได้เพราะอะไรนั้น ถ้าจะเอาข้อมูลที่มีอยู่มาตอบได้นั้นที่สำคัญก็จะมีอยู่สองประเด็นหลักๆก็คือ
๑. การที่ไม่มีทัศนะใดที่สมบูรณ์แบบ ในประเด็นนี้ถึงแม้ว่าทัศนะที่กล่าวมาจะไม่สมบูรณ์แบบก็ตามแต่นั่นก็ถือเป็นความท้าทายต่อนักคิดรุ่นหลังต่อไปที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนาแก้ไขต่อไป เพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในประเด็นนี้เหมือกับว่าแนวความคิดของฮั่นเฟยจื้อจะถูกต้องที่ว่า กฎหมายและการปกครองจะต้องเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามกาลเวลา
๒. “ผู้ปกครอง” และ “ผู้ถูกปกครอง” จะต้องไม่เป็นผู้ฝ่าฝืนกฎเสียเองทั้งสองฝ่าย หรือแม้แต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ตามที

คุยทิ้งท้าย (ขอคุยแบบสบายๆ)
หลังจากที่ได้กล่าวเนื้อหามาซะนานย่อหน้านี้ก็จะเป็นย่อหน้าสุดท้ายแล้ว แต่ก่อนจะลาจากกันไปผมมีเรื่องอยากจะบอกต่อจากเนื้อหาอีกหน่อยครับ ตามความคิดของผมเลยนั้นผมไม่ได้ชอบแนวทางใดเลยทั้งสองแนวทางแหละครับ บางทีผมก็ชอบเสรีนิยม บางทีก็ชอบสังคมนิยม แล้วแต่ช่วงเวลามากกว่า แต่จะให้ดีเยี่ยมจริงๆนะครับ ต้องนำแนวคิดทั้งสองมารวมกันให้เป็นหนึ่งให้ได้ ถ้าหากนำแนวคิดทั้งสองมารวมกันได้จะเป็นเรื่องที่เยี่ยมมาก แม้ว่าก่อนหน้านี้อาจจะมีนักคิดที่มีแนวคิดแบบนี้มาแล้ว ถ้าผมจำไม่ผิดก็คือ จอห์น รอลส์ แต่ตัวผมเองก็ยังไม่พอใจนัก หรือบางทีผมอาจจะยังศึกษาปรัชญาของท่านไม่มากและดีพอก็ได้ แต่ในเรื่องการนำแนวคิดทั้งสองนั้นมารวมกันผมมองว่าทัศนะทั้งสองเป็นของที่อยู่กันตรงกันข้ามก็จริงอยู่ แต่ผมมีความรู้สึก หรือเหตุผลบางอย่างว่าทั้งสองนั้นสมารถที่จะอุดรูรั่วของอีกฝ่ายได้ แต่ตอนนี้ผมยังด้อยปัญญาอยู่ ต้องขอออกตัวก่อนเลยว่าผมเป็นแค่ผู้ศึกษาปรัชญาธรรมดาๆเท่านั้นการจะหาคำตอบต่อปัญหาก็จำกัดที่สติปัญญาอยู่ แต่ก็จะขอขอบคุณมากหากผู้ใดจะช่วยออกข้อเสนอแนะหรือร่วมกันแบ่งปันประสบการณ์ก็ยินดีอย่างยิ่งครับ

ผมเกือบลืมไปประเด็นที่อยากพูดสุดท้ายผมอยากจะตอบคำถามที่อาจารย์เคยถามไว้ว่า
“ในฐานะนักศึกษาปรัชญาเรามีอุดมคติว่าจะทำอย่างไรต่อสังคม” (อาจเขียนคำถามผิดต้องขออภัย)
แวบแรกที่เจอคำถามนี้ในห้องเรียน คำตอบแรกออกมาเลยครับ “ปฏิวัติ” ครับ ผมอาจจะโลภและหัวรุนแรงเกินไปนะครับ แต่ผมก็มีความคิดเสมอว่า ผมไม่เคยพอใจกับสังคมปัจจุบันที่ผมมากพอดู ความอยุติธรรมในสังคม ตั้งแต่ภาพใหญ่ถึงภาพเล็ก ตั้งแต่นักการเมืองถึงคนข้างบ้าน นอกจากความอยุติธรรมก็มีอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความไร้ระเบียบของสังคม การเอารัดเอาเปรียบจากชนชั้นที่สูงกว่า ความเห็นแก่ตัวของคนในสังคม เรื่องราวข่าวสารที่หลอกลวงและไร้สาระ (กว่าการ์ตูนชินจัง) ผมอาจจะคิดไปเอง แต่ผมอยากถามทุกท่านกลับว่าท่านพอใจสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้หรือไม่ แต่ไม่ต้องห่วงครับผมคงไม่วันดีคืนดี ถือ AK-47 ออกไปปฏิวัติหลอกครับ เพราะว่ามันเป็นแค่เพียงอุดมคติเท่านั้น ผมไม่ถึงขนาดคิดมากและบ้าตายหรอกครับ


เอาละครับครั้งผมคงต้องขอทิ้งท้ายแค่นี้ก่อนดีกว่า (เวลาขณะพิมพ์ตี ๓ กว่าแล้ว) สังขารเริ่มไม่เสถียรแล้ว โอกาสหน้ามาพบกันใหม่นะครับ Bye...Bye...

หนังสือแนะนำที่ควรอ่านเพิ่มเติม
ปรัชญาสังคมและการเมือง / สมภาร พรมทา.
ปวงปรัชญาจีน/ฟื้น ดอกบัว
******************************************************************************


วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่พื้นที่ทางปรัชญาของผม

ขอยินดีต้อนรับทุกท่านสู่พื้นที่แสดงความคิดเห็นทางปรัชญาของ
ธนะพัฒน์ รัตนเสนา