(ร่วมด้วยช่วยกัน...โดยชาวสยามรุ่น ๒๕๕๒)
ขอยินดีต้อนรับชาวโลกทุกท่านสู่พื้นที่เล็กๆ (เล็กจริงๆ) เพื่อมาระดมความคิดหลายๆหัว ได้มาดูเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ ประเทืองปัญญาวันละนิด (เพื่อปัญญาจะได้ไม่ง่อยรับประทาน...เพราะวันๆไม่ค่อยได้ใช้) นี่ถือเป็นบทความที่นำมาใส่เป็นชิ้นแรกของผม ที่เขียน (หรือต้องเรียกว่าพิมพ์สิ) อย่างจริงๆจังๆสักหน่อย ในย่อหน้าแรกก็ขอทักทายอย่างสบายสมองกันก่อนนะครับ ก่อนที่เราจะเข้าสู่เนื้อหาหลักกันต่อจากนี้ ถ้าจะว่ากันจริงๆ Blog นี้ก็เริ่มมาจากงานที่ อาจารย์ยิ่งยศ เทพจำนงค์ เป็นผู้สั่งให้ทำ โดยเกี่ยวเนื่องกับวิชา ปรัชญาสังคมและการเมือง โดยที่ให้สร้าง Blog เพื่อนำเสนอแนวความคิดที่เกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียน...สู่สายตาชาวโลก!... ฉะนั้นแล้วจึงจัดทำขึ้นมาจนสำเร็จ แต่เป็นไปในแบบแค่มือใหม่หัดทำ เพราะเป็นคนที่ใช้คอมแค่ไม่กี่อย่าง (เช่นพิมพ์งาน ดูหนัง และอะไรอีกไม่มาก) แต่ก็คิดว่าถ้าทำต่อไปเรื่อยๆคิดว่าคงชำนาญขึ้น แต่ถึงแม้ว่า Blog นี้จะถูกทำขึ้นมาเพื่อเป็นงานส่งในวิชาเรียนก็ตาม แต่ตัวผมก็มีความประสงค์ให้พื้นที่เล็กๆนี้ได้เป็นพื้นที่ที่ทุกคนสามารถจะแสดงออกได้อย่างอิสระ ทั้งตัวผมเองและทุกท่านที่ได้มาเข้าชม เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้และทัศนะต่างๆให้ทุกท่านและตัวผม ผมหวังว่าบทความของผมนั้นจะสามารถเปิดโลกทัศน์ของทุกท่านได้บ้าง แม้จะไม่มากก็ตาม นี่เป็นความหวังของตัวผมเอง (นักทำ Blog มือใหม่)
เอาละหลังจากทักทายกันมามากพอแล้วตัวผมก็จะขอเข้าสู่เนื้อหากันละครับ
กระแสของความคิดนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หัวข้อหนึ่งที่เป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างมากก็คือเรื่องของแนวความคิดทางสังคมและการเมืองนี่ละครับ ที่ดูจะเก่าแก่ที่สุดตามหลักฐานที่มีการศึกษาสืบต่อกันมาโดยที่ผู้ศึกษาปรัชญานั้นทราบดีก็คือเริ่มจากสมัยกรีกโบราณ จวบจนยุคปัจจุบันที่ผมและชาวโลกทุกท่านมีชีวิตอยู่ แม้จะผ่านมานานเป็นพันๆปีก็ตามแต่ปัญหาเรื่องแนวความคิดทางสังคมและการเมืองนั้นก็ยังไม่อาจหาทางที่สิ้นสุดได้ นั่นเป็นเพราะอะไรนั้นผมคงจะไม่ขอกล่าวหรือสรุปในตอนนี้
ขอยินดีต้อนรับชาวโลกทุกท่านสู่พื้นที่เล็กๆ (เล็กจริงๆ) เพื่อมาระดมความคิดหลายๆหัว ได้มาดูเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ ประเทืองปัญญาวันละนิด (เพื่อปัญญาจะได้ไม่ง่อยรับประทาน...เพราะวันๆไม่ค่อยได้ใช้) นี่ถือเป็นบทความที่นำมาใส่เป็นชิ้นแรกของผม ที่เขียน (หรือต้องเรียกว่าพิมพ์สิ) อย่างจริงๆจังๆสักหน่อย ในย่อหน้าแรกก็ขอทักทายอย่างสบายสมองกันก่อนนะครับ ก่อนที่เราจะเข้าสู่เนื้อหาหลักกันต่อจากนี้ ถ้าจะว่ากันจริงๆ Blog นี้ก็เริ่มมาจากงานที่ อาจารย์ยิ่งยศ เทพจำนงค์ เป็นผู้สั่งให้ทำ โดยเกี่ยวเนื่องกับวิชา ปรัชญาสังคมและการเมือง โดยที่ให้สร้าง Blog เพื่อนำเสนอแนวความคิดที่เกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียน...สู่สายตาชาวโลก!... ฉะนั้นแล้วจึงจัดทำขึ้นมาจนสำเร็จ แต่เป็นไปในแบบแค่มือใหม่หัดทำ เพราะเป็นคนที่ใช้คอมแค่ไม่กี่อย่าง (เช่นพิมพ์งาน ดูหนัง และอะไรอีกไม่มาก) แต่ก็คิดว่าถ้าทำต่อไปเรื่อยๆคิดว่าคงชำนาญขึ้น แต่ถึงแม้ว่า Blog นี้จะถูกทำขึ้นมาเพื่อเป็นงานส่งในวิชาเรียนก็ตาม แต่ตัวผมก็มีความประสงค์ให้พื้นที่เล็กๆนี้ได้เป็นพื้นที่ที่ทุกคนสามารถจะแสดงออกได้อย่างอิสระ ทั้งตัวผมเองและทุกท่านที่ได้มาเข้าชม เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้และทัศนะต่างๆให้ทุกท่านและตัวผม ผมหวังว่าบทความของผมนั้นจะสามารถเปิดโลกทัศน์ของทุกท่านได้บ้าง แม้จะไม่มากก็ตาม นี่เป็นความหวังของตัวผมเอง (นักทำ Blog มือใหม่)
เอาละหลังจากทักทายกันมามากพอแล้วตัวผมก็จะขอเข้าสู่เนื้อหากันละครับ
กระแสของความคิดนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หัวข้อหนึ่งที่เป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างมากก็คือเรื่องของแนวความคิดทางสังคมและการเมืองนี่ละครับ ที่ดูจะเก่าแก่ที่สุดตามหลักฐานที่มีการศึกษาสืบต่อกันมาโดยที่ผู้ศึกษาปรัชญานั้นทราบดีก็คือเริ่มจากสมัยกรีกโบราณ จวบจนยุคปัจจุบันที่ผมและชาวโลกทุกท่านมีชีวิตอยู่ แม้จะผ่านมานานเป็นพันๆปีก็ตามแต่ปัญหาเรื่องแนวความคิดทางสังคมและการเมืองนั้นก็ยังไม่อาจหาทางที่สิ้นสุดได้ นั่นเป็นเพราะอะไรนั้นผมคงจะไม่ขอกล่าวหรือสรุปในตอนนี้
ก่อนอื่นผมจะขอกล่าวถึงกระแสที่ถือว่าเป็นกระแสทางความคิดที่เป็นหลักในเรื่องแนวความคิดทางสังคมและการเมือง ซึ่งนับมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แนวความคิดทางสังคมและการเมืองได้ถูกแบ่งแยกออกเป็น ๒ กลุ่มที่มีแนวความคิดอย่างชัดเจนที่สุด นั่นคือ
กลุ่มแรกกลุ่มที่ถือว่าสังคมการเมืองไม่ว่าจะเรียกว่ารัฐ ประเทศ หรืออะไรก็ตามที่เป็นที่รวมของปัจเจกบุคคล คนแต่ละคนที่มารวมกันอยู่นี้ต่างมีผลประโยชน์ที่จะต้องปกป้อง การอยู่รวมกันเป็นสังคมการเมืองในทัศนะของนักปรัชญากลุ่มนี้เปรียบเสมือนการทำสัญญา หรือกติกาที่ทุกคนร่วมกันสร้างขึ้น เป็นข้อตกลงร่วมที่ทุกฝ่ายทุกฝ่ายเห็นพ้องว่าอำนวยผลประโยชน์ให้ตนมากที่สุดหรือเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของตนให้ได้มากที่สุด
กลุ่มที่สอง คือกลุ่มที่มองว่าสังคมการเมืองไม่ใช่ที่รวมของปัจเจกชนที่มีผลประโยชน์ส่วนตนอันจะต้องปกป้องรักษา แม้รัฐหรือประเทศจะประกอบด้วยปัจเจกมากมาย แต่ปัจเจกนั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของประเทศ ส่วนย่อยนี้ไม่มีความสำคัญเท่าส่วนรวม ประเทศสำคัญกว่าปัจเจกบุคคล ผลประโยชน์ของชาติต้องมาก่อนผลประโยชน์ของปัจเจก
จากที่ได้แสดงให้เห็นแล้วนั้นว่าแต่ละกลุ่มนั้นมีโลกทัศน์แบบใด นั่นเองก็ได้นำไปสู่การมีโลกทัศน์ในเรื่องอื่นๆที่แตกต่างกัน คราวนี้เราจะมาทำความรู้จักและทำความเข้าใจความคิดในกลุ่มแรกกันก่อน โดยที่นักปรัชญาในกลุ่มนี้นั้น จะประกอบไปด้วย โทมัส ฮอบส์, จอห์น ล็อค, จัง-จาคส์ รุสโซ ซึ่งทั้งหมดเป็นนักปรัชญาตะวันตก และยังมีนักปรัชญาตะวันออกที่มีแนวคิดที่คล้ายคลึงแบบนักปรัชญาตะวันตกที่กล่าวมาแล้วด้วยเช่นกันคือ ฮั่นเฟยจื้อ เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนผมจะขอกล่าวลักษณะโดยรวมของปรัชญาในสายนี้ว่ามีโลกทัศน์แบบใดเพื่อง่ายต่อการศึกษา
โลกทัศน์เรื่องมนุษย์ นักปรัชญาสายนี้มีความเชื่อว่า มนุษย์นั้นมีความเห็นแก่ตัวทุกคน เมื่อมนุษย์ทุกคนมีความเห็นแก่ตัวนั่นทำให้เกิดการแก่งแย่งและต่อสู้ขึ้นได้ ฉะนั้นแล้วมนุษย์จึงได้มารวมกลุ่มกันเกิดเป็นสังคมเป็นรัฐขึ้นมา และที่สำคัญคือ ได้มีการร่วมกันตั้งกฎกติกา เพื่อพิทักษ์ปกป้องสิทธิเสรีภาพและเพื่อให้เกิดความปลอดภัยของปัจเจกชนในสังคมหรือรัฐนั้นๆขึ้น การทำเช่นนี้เป็นการลดทอนสิทธิเสรีภาพของปัจเจกชนทุกคน แต่ว่าสิ่งที่ได้มานั้นก็คือความปลอดภัย และการรับประกันว่าสิทธิเสรีภาพของเราจะไม่ถูกละเมิดโดยผู้อื่น ปัญหาต่อมาก็คือในเรื่องของ “ผู้ปกครอง” กับ “กฎหมาย” ในหัวเรื่องนี้นักปรัชญาแต่ละท่านได้มีความเห็นและคำอธิบายที่แตกต่างกันออกไป (โดยเฉพาะกับ ของฮั่นเฟยจื้อ เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับในปรัชญาตะวันตกนั้น ทางนักปรัชญาตะวันตกจะมีความเห็นเรื่อง “ผู้ปกครองจะต้องมาจากประชาชน” โดยที่ประชาชนเป็นผู้เลือกขึ้นมาเป็นนักปกครอง ซึ่งในวัฒนธรรมของจีนในสมัยของท่านฮั่นเฟยจื้อนั้น เป็นระบอบแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั่นเองก็เป็นข้อที่แตกต่างกันมาก แต่ที่ผมจับทัศนะของ
ฮั่นเฟยจื้อมารวมก็เพราะว่าทัศนะของท่านมีมุมมองที่มองแก่นแท้ของมนุษย์คล้ายกับทัศนะทางนักปรัชญาตะวันตก เมื่อเป็นเช่นนั้นการจะอยู่รวมกันจึงจำเป็นต้องมี “กฎหมาย” เพื่อความเป็นระเบียบของรัฐ) ยกตัวอย่างเช่น ผู้ปกครองต้องมาจากประชาชน หน้าที่ของผู้ปกครองคือการบังคับใช้กฎ แต่มีมีสิทธิในการออกกฎ (ตามทัศนะรุสโซ) ประชาชนสามารถถอดถอนผู้ปกครองได้เมื่อผู้ปกครองไม่ทำตามกระแสของปวงชน และผู้ปกครองต้องไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน เป็นต้น แต่ในส่วนหัวเรื่องหลักๆนั้นก็ถือว่าคล้ายคลึงและอยู่ในประเภทเดียวกัน
โลกทัศน์เรื่องมนุษย์ นักปรัชญาสายนี้มีความเชื่อว่า มนุษย์นั้นมีความเห็นแก่ตัวทุกคน เมื่อมนุษย์ทุกคนมีความเห็นแก่ตัวนั่นทำให้เกิดการแก่งแย่งและต่อสู้ขึ้นได้ ฉะนั้นแล้วมนุษย์จึงได้มารวมกลุ่มกันเกิดเป็นสังคมเป็นรัฐขึ้นมา และที่สำคัญคือ ได้มีการร่วมกันตั้งกฎกติกา เพื่อพิทักษ์ปกป้องสิทธิเสรีภาพและเพื่อให้เกิดความปลอดภัยของปัจเจกชนในสังคมหรือรัฐนั้นๆขึ้น การทำเช่นนี้เป็นการลดทอนสิทธิเสรีภาพของปัจเจกชนทุกคน แต่ว่าสิ่งที่ได้มานั้นก็คือความปลอดภัย และการรับประกันว่าสิทธิเสรีภาพของเราจะไม่ถูกละเมิดโดยผู้อื่น ปัญหาต่อมาก็คือในเรื่องของ “ผู้ปกครอง” กับ “กฎหมาย” ในหัวเรื่องนี้นักปรัชญาแต่ละท่านได้มีความเห็นและคำอธิบายที่แตกต่างกันออกไป (โดยเฉพาะกับ ของฮั่นเฟยจื้อ เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับในปรัชญาตะวันตกนั้น ทางนักปรัชญาตะวันตกจะมีความเห็นเรื่อง “ผู้ปกครองจะต้องมาจากประชาชน” โดยที่ประชาชนเป็นผู้เลือกขึ้นมาเป็นนักปกครอง ซึ่งในวัฒนธรรมของจีนในสมัยของท่านฮั่นเฟยจื้อนั้น เป็นระบอบแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั่นเองก็เป็นข้อที่แตกต่างกันมาก แต่ที่ผมจับทัศนะของ
ฮั่นเฟยจื้อมารวมก็เพราะว่าทัศนะของท่านมีมุมมองที่มองแก่นแท้ของมนุษย์คล้ายกับทัศนะทางนักปรัชญาตะวันตก เมื่อเป็นเช่นนั้นการจะอยู่รวมกันจึงจำเป็นต้องมี “กฎหมาย” เพื่อความเป็นระเบียบของรัฐ) ยกตัวอย่างเช่น ผู้ปกครองต้องมาจากประชาชน หน้าที่ของผู้ปกครองคือการบังคับใช้กฎ แต่มีมีสิทธิในการออกกฎ (ตามทัศนะรุสโซ) ประชาชนสามารถถอดถอนผู้ปกครองได้เมื่อผู้ปกครองไม่ทำตามกระแสของปวงชน และผู้ปกครองต้องไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน เป็นต้น แต่ในส่วนหัวเรื่องหลักๆนั้นก็ถือว่าคล้ายคลึงและอยู่ในประเภทเดียวกัน
คราวนี้เราจะมาทำความรู้จักและทำความเข้าใจความคิดในกลุ่มที่สองกันต่อ นักปรัชญาที่มีแนวความคิดทางสายนี้คือ คาร์ล มากซ์ ซึ่งตามทัศนะนี้จะเป็นการมองตรงกันข้ามกับแนวคิดในกลุ่มที่หนึ่งอย่างชัดเจน ในทัศนะที่หนึ่งนั้นยอมรับว่ามนุษย์มีความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน และรักตัวเอง แต่ในกลุ่มที่สองนี้จะมองไม่เหมือนกัน ถ้ามองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์เราจะพบว่าได้มีมนุษย์ที่ยอมยากลำบาก อุทิษตนเพื่อช่วยเหลือมนุษยผู้อื่นมากมาย เช่น พระพุทธเจ้า พระเยซู คานธี รวมถึงเหล่านักรบที่สู้รบเพื่อปกป้องบ้านเมือง (เช่นเหตุการณ์ในสามจังหวัดชายแดนใต้ของไทย หรือในภาพยนต์เรื่อง 300 เป็นต้น) จริงอยู่ที่คนเหล่านั้นอาจทุ่มเทและเสียสละเพราะนั่นคือ ประเทศ หรือ รัฐ ของตนก็ตาม แต่การกระทำเช่นนั้นคงจะไม่มีใครเรียกว่าความเห็นแก่ตัวแน่ มากซ์ มองว่าปัจเจกบุคคลมีสองภาวะ ภาวะแรกคนทุกคนต่างเป็นตัวของตัวเอง และภาวะที่สองคนทุกคนคือส่วนหนึ่งของสังคม มากซ์เชื่อว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม เป็นสัตว์ที่มีความสำนึกในเผ่าพันธุ์ตนเอง ดังนั้นในการดำรงชีพคนแต่ละคนแม้จะขวนขวายเพื่อให้ตนเองอยู่รอดก็ตาม แต่คนในขณะเดียวกันคนแต่ละคนก็ขวนขวยเพื่อสังคมด้วย หากมนุษย์มีแต่ความเห็นแก่ตัว
ไม่มีคุณสมบัติกล่าวคือการเป็นสัตว์สังคมและสัตว์ที่มีความสำนึกในเผ่าพันธุ์พวกพ้อง สิ่งที่เรียกว่าอารยธรรมจะเกิดขึ้นไม่ได้ ฉะนั้นรัฐหรือประเทศในทัศนะของนักปรัชญากลุ่มนี้มีความหมายมากกว่าปัจเจกบุคคล ดังที่ได้กล่าวไปตอนต้นแล้วนั้นว่าปัจเจกนั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของประเทศ ส่วนย่อยนี้ไม่มีความสำคัญเท่าส่วนรวม ประเทศสำคัญกว่าปัจเจกบุคคล ผลประโยชน์ของชาติต้องมาก่อนผลประโยชน์ของปัจเจก หากเกิดความขัดแย้งในผลประโยชน์ระหว่างปัจเจกกับรัฐขึ้น ผลประโยชน์ของรัฐจะต้องมาก่อนเสมอ แนวคิดทางสายนี้สามารถรวมแนวคิดทางการเมืองการปกครองแบบศาสนาพราหม์ในสมัยอินเดียโบราณ และแนวคิดของเพลโต้ ในเรื่องอุดมรัฐได้ด้วยเพราะมีลักษณะโดยให้ความสำคัญของปัจเจกน้อยกว่ารัฐเช่นเดียวกัน
เราได้เข้าใจทัศนะของทั้งสองฝ่ายมาแล้ว เราจะเห็นได้ว่าทัศนะของทั้งสองนั้นมีทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งที่แตกต่างกัน ขอย้ำในคำว่าจุดอ่อนและจุดแข็ง นั่นแปลว่าทั้งสองทัศนะ ไม่มีทัศนะใดที่สมบูรณ์แบบจริงๆ (ซึ่งนั่นเองอาจจะตอบปัญหาเรื่องแนวความคิดทางสังคมและการเมืองนั้นยังไม่อาจหาทางที่สิ้นสุดได้เช่นกันแต่ยังไม่เพียงพอที่จะสรุปได้) แต่คงเป็นเรื่องยากที่จะชี้ลงไปได้ว่าอย่างใดดีกว่า เพราะนี่เป็นปรัชญาสังคมและการเมือง เมื่อขึ้นมาว่าสังคมและการเมือง สิ่งที่ตามมาแน่นอนก็คือ จำต้องมี “ผู้ปกครอง” และ “ผู้ถูกปกครอง” ทั้งสองคือตัวแปรที่สำคัญ อย่างที่กล่าวไปทัศนะทางปรัชญาสังคมและการเมืองของทั้งสองนั้นมีทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งที่แตกต่างกัน เป็นเรื่องยากที่จะชี้ว่าใครดีกว่า ได้มีนักคิดมากมายพยายามบอกกล่าวว่าฝ่ายนั้นดีกว่าบ้างฝ่ายนี้ดีกว่าบ้าง บ้างก็ว่าแนวคิดในกลุ่มที่สองเป็นจริงไม่ได้บ้างละ แนวคิดในกลุ่มแรกก็โดนกล่าวในแบบเดียวกัน แต่ถ้ามองให้ดี แนวคิดทั้งสองนั้นถึงแม้ว่าจะขนานกัน ไม่สัมพันธ์กัน แต่ว่าตั้งอยู่บนระนาบเดียวกัน หากตัดรายละเอียดปลีกย่อยของแต่ละแนวคิดออดไป สิ่งที่แนวคิดในกลุ่มแรกต้องการก็คือรัฐที่มีคุณภาพ ปัจเจกที่มีคุณภาพ และความมีระเบียบเรียบร้อยหรือไม่ คำตอบก็คือใช่ และแนวคิดของกลุ่มที่สองจะต้องการผลที่เป็นคำตอบเดียวกันหรือไม่ คำตอบก็คือใช่ ทั้งสองแนวคิดนี้แท้จริงแล้วต้องการสิ่งเดียวกันนั่นเองหาใช่เรื่องอื่นใด ฉะนั้นแล้วทัศนะทั้งสองจึงมิได้เหลื่อมล้ำกันแต่อย่างใด
แต่เราได้เห็นตัวอย่างทั้งในอดีตและปัจจุบันมาแล้วว่าได้มีหลายๆประเทศที่ได้ใช้ปรัชญาทั้งสองแบบนั้นมาปกครองประเทศ แต่ว่าทำไมถึงยังคงเกิดความวุ่นวายและไร้ระเบียบกันอยู่ ถ้าเราจะมาดูที่ตัวปรัชญาของแต่ละฝ่ายว่าผิดพลาดและไม่สมบูรณ์หรือไม่ คำตอบคือนั่นก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ว่าไม่มีปรัชญาใดที่สมบูรณ์อยู่แล้วซึ่งเป็นเรื่องที่คนที่นำปรัชญามาใช้ต้องรู้อยู่แล้วซึ่งนั่นจะทำให้เกิดการพัฒนาแนวคิดมากขึ้นเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด แต่ทำไมก็ยังเกิดปัญหาขึ้นอีกและร้ายแรงมากขึ้นด้วย (เช่นวิกฤตการณ์การเงินของสหรัฐอเมริกาที่ร้ายแรงมาก เป็นต้น) บางทีปัญหามิได้อยู่ที่แนวคิด ปรัชญา หรือตัวของระบบ ผมได้กล่าวไปแล้วว่า “ผู้ปกครอง” และ “ผู้ถูกปกครอง” ทั้งสองคือตัวแปรที่สำคัญ แท้จริงแล้วปัญหาทั้งหมดนั้นอยู่ที่ตัวแปรสองตัวนี้เท่านั้น หาก“ผู้ปกครอง” และ “ผู้ถูกปกครอง” นั้นไม่ฝ่าฝืนระบบ ไม่ว่าจะเป็นละหรือทำเกินกว่าหน้าที่ หรือการหวังแต่ผลประโยชน์ส่วนตน ปัญหาก็จะไม่เกิด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดมากเช่น เพราะความโลภทำให้อเมริกาต้องประสบปัญหาเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เป็นต้น
คำถามที่เราถามในตอนต้นก็คือปัญหาเรื่องแนวความคิดทางสังคมและการเมืองนั้นยังไม่อาจหาทางที่สิ้นสุดได้เพราะอะไรนั้น ถ้าจะเอาข้อมูลที่มีอยู่มาตอบได้นั้นที่สำคัญก็จะมีอยู่สองประเด็นหลักๆก็คือ
๑. การที่ไม่มีทัศนะใดที่สมบูรณ์แบบ ในประเด็นนี้ถึงแม้ว่าทัศนะที่กล่าวมาจะไม่สมบูรณ์แบบก็ตามแต่นั่นก็ถือเป็นความท้าทายต่อนักคิดรุ่นหลังต่อไปที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนาแก้ไขต่อไป เพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในประเด็นนี้เหมือกับว่าแนวความคิดของฮั่นเฟยจื้อจะถูกต้องที่ว่า กฎหมายและการปกครองจะต้องเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามกาลเวลา
๒. “ผู้ปกครอง” และ “ผู้ถูกปกครอง” จะต้องไม่เป็นผู้ฝ่าฝืนกฎเสียเองทั้งสองฝ่าย หรือแม้แต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ตามที
คุยทิ้งท้าย (ขอคุยแบบสบายๆ)
หลังจากที่ได้กล่าวเนื้อหามาซะนานย่อหน้านี้ก็จะเป็นย่อหน้าสุดท้ายแล้ว แต่ก่อนจะลาจากกันไปผมมีเรื่องอยากจะบอกต่อจากเนื้อหาอีกหน่อยครับ ตามความคิดของผมเลยนั้นผมไม่ได้ชอบแนวทางใดเลยทั้งสองแนวทางแหละครับ บางทีผมก็ชอบเสรีนิยม บางทีก็ชอบสังคมนิยม แล้วแต่ช่วงเวลามากกว่า แต่จะให้ดีเยี่ยมจริงๆนะครับ ต้องนำแนวคิดทั้งสองมารวมกันให้เป็นหนึ่งให้ได้ ถ้าหากนำแนวคิดทั้งสองมารวมกันได้จะเป็นเรื่องที่เยี่ยมมาก แม้ว่าก่อนหน้านี้อาจจะมีนักคิดที่มีแนวคิดแบบนี้มาแล้ว ถ้าผมจำไม่ผิดก็คือ จอห์น รอลส์ แต่ตัวผมเองก็ยังไม่พอใจนัก หรือบางทีผมอาจจะยังศึกษาปรัชญาของท่านไม่มากและดีพอก็ได้ แต่ในเรื่องการนำแนวคิดทั้งสองนั้นมารวมกันผมมองว่าทัศนะทั้งสองเป็นของที่อยู่กันตรงกันข้ามก็จริงอยู่ แต่ผมมีความรู้สึก หรือเหตุผลบางอย่างว่าทั้งสองนั้นสมารถที่จะอุดรูรั่วของอีกฝ่ายได้ แต่ตอนนี้ผมยังด้อยปัญญาอยู่ ต้องขอออกตัวก่อนเลยว่าผมเป็นแค่ผู้ศึกษาปรัชญาธรรมดาๆเท่านั้นการจะหาคำตอบต่อปัญหาก็จำกัดที่สติปัญญาอยู่ แต่ก็จะขอขอบคุณมากหากผู้ใดจะช่วยออกข้อเสนอแนะหรือร่วมกันแบ่งปันประสบการณ์ก็ยินดีอย่างยิ่งครับ
ผมเกือบลืมไปประเด็นที่อยากพูดสุดท้ายผมอยากจะตอบคำถามที่อาจารย์เคยถามไว้ว่า
“ในฐานะนักศึกษาปรัชญาเรามีอุดมคติว่าจะทำอย่างไรต่อสังคม” (อาจเขียนคำถามผิดต้องขออภัย)
แวบแรกที่เจอคำถามนี้ในห้องเรียน คำตอบแรกออกมาเลยครับ “ปฏิวัติ” ครับ ผมอาจจะโลภและหัวรุนแรงเกินไปนะครับ แต่ผมก็มีความคิดเสมอว่า ผมไม่เคยพอใจกับสังคมปัจจุบันที่ผมมากพอดู ความอยุติธรรมในสังคม ตั้งแต่ภาพใหญ่ถึงภาพเล็ก ตั้งแต่นักการเมืองถึงคนข้างบ้าน นอกจากความอยุติธรรมก็มีอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความไร้ระเบียบของสังคม การเอารัดเอาเปรียบจากชนชั้นที่สูงกว่า ความเห็นแก่ตัวของคนในสังคม เรื่องราวข่าวสารที่หลอกลวงและไร้สาระ (กว่าการ์ตูนชินจัง) ผมอาจจะคิดไปเอง แต่ผมอยากถามทุกท่านกลับว่าท่านพอใจสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้หรือไม่ แต่ไม่ต้องห่วงครับผมคงไม่วันดีคืนดี ถือ AK-47 ออกไปปฏิวัติหลอกครับ เพราะว่ามันเป็นแค่เพียงอุดมคติเท่านั้น ผมไม่ถึงขนาดคิดมากและบ้าตายหรอกครับ
“ในฐานะนักศึกษาปรัชญาเรามีอุดมคติว่าจะทำอย่างไรต่อสังคม” (อาจเขียนคำถามผิดต้องขออภัย)
แวบแรกที่เจอคำถามนี้ในห้องเรียน คำตอบแรกออกมาเลยครับ “ปฏิวัติ” ครับ ผมอาจจะโลภและหัวรุนแรงเกินไปนะครับ แต่ผมก็มีความคิดเสมอว่า ผมไม่เคยพอใจกับสังคมปัจจุบันที่ผมมากพอดู ความอยุติธรรมในสังคม ตั้งแต่ภาพใหญ่ถึงภาพเล็ก ตั้งแต่นักการเมืองถึงคนข้างบ้าน นอกจากความอยุติธรรมก็มีอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความไร้ระเบียบของสังคม การเอารัดเอาเปรียบจากชนชั้นที่สูงกว่า ความเห็นแก่ตัวของคนในสังคม เรื่องราวข่าวสารที่หลอกลวงและไร้สาระ (กว่าการ์ตูนชินจัง) ผมอาจจะคิดไปเอง แต่ผมอยากถามทุกท่านกลับว่าท่านพอใจสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้หรือไม่ แต่ไม่ต้องห่วงครับผมคงไม่วันดีคืนดี ถือ AK-47 ออกไปปฏิวัติหลอกครับ เพราะว่ามันเป็นแค่เพียงอุดมคติเท่านั้น ผมไม่ถึงขนาดคิดมากและบ้าตายหรอกครับ
เอาละครับครั้งผมคงต้องขอทิ้งท้ายแค่นี้ก่อนดีกว่า (เวลาขณะพิมพ์ตี ๓ กว่าแล้ว) สังขารเริ่มไม่เสถียรแล้ว โอกาสหน้ามาพบกันใหม่นะครับ Bye...Bye...
หนังสือแนะนำที่ควรอ่านเพิ่มเติม
ปรัชญาสังคมและการเมือง / สมภาร พรมทา.
ปวงปรัชญาจีน/ฟื้น ดอกบัว
******************************************************************************
เห็นด้วยครับว่าปัญหาส่วนใหญ่น่าจะอยู่ที่ผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง จะเอาแต่โทษที่ระบบอย่างเดียวไม่ได้ แต่ผมว่าแม้ระบบเองก็ไม่สมบูรแบบตัวผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครองก็คงไม่สมบูรแบบเช่นกัน คงจะให้อะไรๆเป็นไปดังใจหวังนั้นคงยาก แต่โดยส่วนตัวผมเองก็ไม่ชอบวิธีรุนแรงโดยไม่จำเป็นคงไม่เห็นด้วยเท่าไหร่กับการใช้กำลังปฎิวัติมากนัก แต่ก็ใช้ว่าผมจะพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ในสังคมไปซะทุกอย่างหรอกครับเพียงแต่ผมยังคิดว่าน่าจะใช้วิธีที่ปลูกฝังคนจากจิตสำนึกควบคู่ไปกับหลักการปกครองน่าจะเป็นวิธีที่ทำให้เกิดการต่อต้านน้อยกว่าการใช้กำลังเป็นหลักน่ะครับ ขอบคุณสำหรับทัศนะที่มีประโยชน์น่ะครับ
ตอบลบขอบคุณ ชื่นชม ที่ใส่ใจ ...แม้จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ แต่สิ่งยิ่งใหญ่ก็เกิดจากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ มิใช่หรือ
ตอบลบวิพากษ์...เนื้อหา น่าสนใจ การนำเสนอ น่าติดตาม มีการค้นคว้าข้อมูลประกอบ ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ
การนำเสนอแนวคิดของตนเอง มีความเป็นตัวของตัวเองดี
รูปร่างหน้าตา blog แม้ถ่อมตัวว่าเป็นมือใหม่ แต่ทำได้ดีทีเดียว มีเอกลักษณ์ น่าติดตาม
สรุป....เป็นก้าวแรกที่ดีมาก...ดำเนินต่อไป ไอ้มดแดง....เป็นแรงใจให้.
...บุญรักษา...
อาจารย์แรก
ผมเป็นชาวโลกคนหนึ่งที่เห็นแล้วอึ้งจริงๆ
ตอบลบนี่ไม่เคยทำแต่ เนื้อหาความรู้พี่แกแน่นปึ๊กจริงๆ
ยอมรับจากใจท่านม่อนสุดยอดดดด
หลังจากที่อดทนอ่านมา ก็คิดว่าคิดว่าน่าจะใช้วิธีที่ปลูกฝังคนจากจิตสำนึกควบคู่ไปกับหลักการปกครอง น่าจะเป็นวิธีที่ทำให้เกิดการต่อต้านน้อยกว่าการใช้กำลังเป็นหลัก เพราะความรุนแรงมันไม่ให้ผลที่ดีเท่ากับการได้ใจคนหรอก เพียงแต่ว่าการปกครองคนทั้งประเทศเป็นการยากที่จะได้ใจคนส่วนใหญ่
อย่างว่าคนดีในสังคมบางทีก็ไม่มีที่อยู่
ที่เราทำได้คือทำดีกับคนที่เรารัก และรักเราให้มากที่สุด ทำดีกันไปเถิด จงอย่าท้อ สู้เขานะทาเคชิ!!
บอกได้เลยว่าสุดยอดม่อน
ตอบลบเนื้อหาดีมากๆเลย
ชอบหลากหลายดีดึงมารวมกันได้แบบดีจัง
แต่มันดูเป็นเรื่องที่ยากน่าดูที่จะทำให้คนในสังคมคิดแบบเรา
เพราะแต่ละคนก็มีความคิดเป็นของตัวเอง
อีกอย่างคิดได้แต่ทำไม่ได้อย่างที่คิดก็มีเยอะแยะ
สู้ๆนะ