
(ร่วมด้วยช่วยกัน...จากคนโง่ผู้รักในความยุติธรรม)
สวัสดีอีกครั้งนะครับคราวนี้ก็ได้กลับมาเจอกันอีกแล้ว ถ้าเบื่อก็คงต้องทนแหละครับ ทนว่าลุงจะมาพูดอะไรอีก อย่าเพิ่งเบื่อเลยครับ งานครับงาน ครั้งนี้ก็เช่นเคยนะครับ มีเรื่องปวดหัวมาให้คิดอีกแล้ว คราวนี้ผมจะมาพูดเรื่อง “ความยุติธรรม” ครับ เป็นไงล่ะ น่าปวดหัวอีกแล้ว แต่ช่างเหอะครับนี่ก็ถือเป็นหน้าที่อีกอย่างนั่นแล งานนี้ตึบนะครับ ก็เข้าใจอยู่นะครับว่าไอ้ความยุติธรรมเนี่ยมันดีอย่างไรและในเชิงทฤษฏีเนี่ยเขาว่ากันอย่างไร แต่ว่าเอาเข้าจริงตามความคิดของตัวเองมันลำบากเหลือเกินครับ ยิ่งเป็นชาวสยามยุค IT + ตอหลด + เงิน = ยุคนี้แหละครับ ใครพูดเรื่องความยุติธรรมเนี่ย เชื่อได้ไหมเนี่ย เฮ้อจะแดงเอย เหลืองเอย ทหารเอย ตำรวจเอย (ไม่ได้ตั้งใจว่าอาจารย์นะครับหมายถึงพวกตำรวจเลวนะครับ ฟันธงได้เลยไม่ใช่อาจารย์แน่) และโดยเฉพาะนักการเมืองสยาม โอ้วสุดยอด เอาล่ะครับก่อนที่จะนอกเรื่องไปมากกว่านี้ เรามาเข้าเนื้อหากันเลยดีกว่านะครับ
หลังจากที่เราได้เรียนรู้กันมาแล้วนะครับว่าปรัชญาการเมืองโดยเฉพาะของทางตะวันตกนั้นมีทัศนะอย่างไรคงไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียดให้มากอีก แต่จะขอสรุปว่าได้มีแนวคิดที่เป็นหลักๆอยู่ 3 กลุ่มที่ว่าด้วยเรื่องความยุติธรรม ดังนี้
1. กลุ่มที่มีทัศนะว่า ปัญหาเรื่องความยุติธรรมเกี่ยวโยงไปถึงเรื่องสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล ความยุติธรรมคือการที่ปัจเจกบุคคลได้รับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งแนวความคิดในกลุ่มนี้คือแนวคิดแบบเสรีนิยม
2. กลุ่มที่มีทัศนะว่า ปัญหาเรื่องความยุติธรรมเป็นปัญหาหลัก ส่วนปัญหาเรื่องสิทธิและเสรีภาพเป็นปัญหารอง ความยุติธรรมสามารถมีได้แม้จะมีการละเมิดสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล ความยุติธรรมในทัศนะของนักปรัชญากลุ่มนี้ไม่ใช่การที่ปัจเจกบุคคลแต่ละคนได้รับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพอย่างเท่าเทียมกัน หากแต่คือการที่ปัจเจกบุคคลแต่ละคนได้รับการปฏิบัติจากรัฐตามความเหมาะสม โดยที่ความเหมาะสมนี้คนแต่ละคนอาจมีไม่เหมือนกัน เมื่อไม่เหมือนกัน คนสองคนที่มีความเหมาะสมต่างกันย่อมได้รับการปฏิบัติต่างกัน การได้รับการปฏิบัติต่างกันนี้คือ “ความยุติธรรม” ซึ่งแนวความคิดในกลุ่มนี้คือแนวคิดแบบสังคมนิยม
3. กลุ่มที่สาม เป็นกลุ่มที่มีทัศนะว่า สองกลุ่มข้างต้นต่างมีความเห็นสุดขั้วด้วยกันทั้งคู่ กลุ่มนี้จึงพยายามประสานสองแนวความคิดข้างต้นเข้าด้วยกัน กล่าวคือ ยอมรับว่าปัจเจกบุคคลต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพอย่างเท่าเทียมกัน แต่ในขณะเดียวกันก็ยอมรับว่า รัฐบาลสามารถที่จะปฏิบัติต่อปัจเจกบุคคลที่มีความเหมาะสมต่างกันนั้นอย่างต่างกันได้ ความยุติธรรมในทัศนะของนักปรัชญากลุ่มนี้คือ การกระทำที่สอดคล้องกับหลักการสองประการที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งแนวความคิดในกลุ่มนี้คือแนวคิดของ จอห์น รอลส์ (John Rawls)
เราคงจะพอเห็นภาพกันแล้วว่าทัศนะในเรื่อง “ความยุติธรรม” ของแต่ละแนวความคิดเป็นอย่างไร
แต่นั่นก็ไม่ได้ชี้ว่า “ความยุติธรรม” คืออะไร นี่ไมใช่ปัญหาที่จะตอบได้ง่ายๆ เพราะทุกคนก็มีแนวคิดที่ต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นตัวผมตัวท่าน หรือทุกคนบนโลกก็ตาม การจะหาคำตอบก็คงเป็นเรื่องยาก แต่ที่แน่นอนว่าคนเกือบทุกคนนั้นคิดเหมือนกันก็คือ เมื่อคนอยู่ในสังคมที่ถูกกดขี่ข่มเหงและเอารัดเอาเปรียบ สิ่งที่จะคิดตามมาก็คือเรื่อง “ความยุติธรรม” ตัวผมเองนั้นได้เคยศึกษาในเรื่องความยุติธรรมนี้มาก่อน ในรายวิชาที่เคยเรียนเมื่อตอนอยู่ ปี 2 แต่ในที่สุดก็ยังหาคำนิยามที่แน่นอนไม่ได้เช่นกัน เพราะนักคิดนักเขียนแต่ละคนให้คุณค่าและคำนิยามแก่ “ความยุติธรรม” นั้นแตกต่างกันไป เช่นเดียวกับแนวคิดเรื่องความยุติธรรมในมุมมองของทัศนะทั้งสามที่ยกมาข้างต้น
แล้วไอ้ความยุติธรรมที่เข้าใจยากนี้มาจากไหน คงจะตอบได้ว่ามาจากการที่มนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นสังคม หากไม่มีสังคมหรืออยู่ร่วมกันก็คงจะไม่มีเรื่อง “ความยุติธรรม” ซึ่งลักษณะก็คล้ายๆกับแนวคิดเรื่องสัญญาประชาคมของฮอบส์ หากมนุษย์มีอยู่คนเดียวบนโลกก็คงไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องสัญญาประชาคมเพราะว่าไม่มีมนุษย์คนอื่นแล้วและความยุติธรรมก็ไม่มีความจำเป็นด้วย
แต่ที่สำคัญก็คือเราไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลก คนทุกคนล้วนแต่มีปฏิสัมพันธ์กันทั้งสิ้น ไม่มีใครที่จะไม่ได้สังกัดอยู่ในสังคมใดเลย ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่ในเมืองหรือในชนบทก็ตาม ดังนั้นเมื่อทุกคนมีปฏิสัมพันธ์กัน สิ่งที่ตามมาก็คือความเหลื่อมล้ำกันของชนชั้นและตัวปัจเจกบุคคล ดังนั้น แนวคิดเรื่อง “ความยุติธรรม” จึงเกิดขึ้นมา แล้วความยุติธรรมคืออะไร !!!!!!!!!!! กลับมาที่ปัญหานี้อีกแล้ว
เพราะไม่มีใครให้ความหมายที่แน่นอนได้
ความยุติธรรมในทัศนะของผู้เขียน
ตามทัศนะของผมนั้นผมมองว่า “ความยุติธรรม” นั้นมีอยู่ 2 ระดับด้วยกันนั่นคือ
1. ความยุติธรรมที่ถือเป็นกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติที่มีอยู่เองตามธรรมชาติ เช่น กฎไตรลักษณ์ ที่ว่าด้วยความเปลี่ยนของสรรพสิ่งไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ และสิ่งของก็ตาม หรือกฎแห่งกรรมที่ว่าด้วยการกระทำและผลของการกระทำที่ตามมา เป็นต้น
2. ความยุติธรรมที่ถือเป็นกฎเกณฑ์หรือกติกาที่คนในสังคมอยู่ร่วมกันร่างขึ้นมา (ซึ่งคล้ายกับสัญญาประชาคม) โดยจะออกมาในรูปแบบของ จารีต ประเพณี จนถึง กระบวนการที่เป็นกฎหมาย
ตามทัศนะของผม ผมมองว่าการที่เราไม่สามารถหาข้อยุติได้ว่า “ความยุติธรรมคืออะไร” นั่นอาจจะมาจากการที่เรามองความยุติธรรมแค่ในระดับเบื้องต้นที่เป็นเพียงแค่การตกลงกันระหว่าง “คนกับคน” เท่านั้น ตามความคิดของผมคือมองในระดับที่ 2 ที่มองว่าเป็นกฎเกณฑ์หรือกติกาที่คนในสังคมอยู่ร่วมกันร่างขึ้นมา ซึ่งนั่นจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องคำนิยามของความยุติธรรมที่ต่างกันไม่รู้จบ แต่ถ้าตัดทัศนะที่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวออกไปแล้วใช้เฉพาะเหตุและผล ก็สามารถที่จะหาแนวความคิดเรื่อง “ความยุติธรรมที่เป็นสากลสำหรับมนุษย์ทุกคน” ได้ แต่นั่นก็เป็นเรื่องยาก และมีหลายเหตุผลที่ไม่สามารถที่จะไปถึงจุดได้นั้น ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว สภาพทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน สภาพทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีความแตกต่างกัน เป็นต้น
การที่ผมได้ยกหลักธรรมทางพุทธศาสนามานั้นมิได้มีความต้องการที่จะอวดอ้างหรือยกว่า “พุทธศาสนา” นั้นอยู่สูงกว่าทัศนะของปรัชญาและศาสนาอื่นๆ แต่ที่สำคัญที่ต้องการจะบอกก็คือ ตามทัศนะของผมนั้น “ความยุติธรรมที่แท้จริง” นั้นเป็นไปได้ เพราะ “ธรรมชาติ” นั้นก็มีตัว “กฎธรรมชาติ” ที่คอยควบคุมอยู่และเป็นไปอย่างสม่ำเสมอและยุติธรรมต่อทุกสิ่งในธรรมชาติ และที่สำคัญคือ “มนุษย์” เองก็เป็นส่วนหนึ่งในธรรมชาติด้วยเช่นกัน หากศึกษาและเข้าใจใน “กฎธรรมชาติ” นั่นเองก็จะทำให้มนุษย์สามารถใช้ชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติได้ หากเราใช้หลักเหตุผลจริงๆโดยมองว่าธรรมชาติของมนุษย์ และธรรมชาติโดยรวมได้นั้นเราก็จะสามารถเข้าใจถึงเรื่อง “ความยุติธรรมที่แท้จริง” ได้
หรืออาจจะสรุปได้ว่าตามทัศนะของผมนั้นผมมองว่า “ความยุติธรรม” นั้นมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “มนุษย์” ซึ่งเป็นผู้วางกฎเกณฑ์และให้คำนิยามต่างๆ แต่ “ความยุติธรรม” นั้นจะต้องเป็นส่วนหนึ่งหรือขึ้นอยู่กับ“ธรรมชาติ” และ “กฎธรรมชาติ” ไม่ใช่เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ดังที่โสเครตีสได้เคยวางรากฐานไว้ (คือต่อต้านแนวความคิดของพวกโซฟิสต์) หรืออย่างที่พระพุทธเจ้าได้นำกฎของธรรมชาติมาสอนสั่ง ที่มิใช่สิ่งที่ทรงสร้างขึ้นมาเองแต่อย่างใด นั่นเองแหละครับที่ผมคิดว่าคือเนื้อหาสาระของ “ความยุติธรรมที่แท้จริง”
คุยก่อนลา
คราวนี้ก็จบไปอีกหัวข้อหนึ่งแล้ว และถ้าหากมีเวลาก็หวังว่าครั้งหน้าจะมาเขียนเกี่ยวกับเรื่องความยุติธรรมนี้อีกครั้งแต่คงต้องรอสักพัก (ไม่แน่ว่าใหญ่หรือเล็กนะ) โดยที่อยากจะเขียนในหัวเรื่องของความยุติธรรมกับสังคมไทยบ้าง แต่คราวนี้คงต้องขอพอแค่นี้ก่อนเพราะว่ายังติดงานวิชาอื่นอยู่อีกพอสมควรเลย เอาเป็นว่าครั้งนี้ก็เขียนได้สั้นกว่าทุกครั้งเอาเฉพาะเนื้อๆเลยนะเนี่ย หากมีเวลาคงได้พบกันเร็วๆนี้แน่นอน แต่...แต่...แต่...แต่...แต่...แต่...ยังไม่จบครับ คราวนี้ผมจะขอยกคำของท่านพุทธทาสภิกขุมาเตือนใจทุกท่านสักหน่อยนะครับ ซึ่งสอนเรื่อง “ความยุติธรรม” ได้ดีทีเดียว แล้วก็ขอลาไปเลยนะครับ ...Bye...
จาก ธรรมโฆษณ์ ชุด ธรรมบรรรยายระดับมหาวิทยาลัย น.๑๗๔-๑๗๖
ความยุติธรรม หรือความเป็นธรรม ในโลกนี้อำนาจอาจจะเป็นยุติธรรม หรือเป็นธรรม ขึ้นมาเมื่อไรก็ได้, หรือว่าตัวประโยชน์นั่นแหละ อาจจะเป็นความยุติธรรมขึ้นมาเมื่อไรก็ได้, หรือว่าวัตถุพยาน เท่าที่เขาจะหามาได้เท่านั้น ที่จะให้เป็นเหตุผลแก่ความยุติธรรม. ทีนี้ถ้าพยานมันเท็จ หรือมันไม่อาจจะรู้ได้ว่า พยานเท็จแล้ว ความยุติธรรมนั้นมันก็หลอกทั้งที่ไม่รู้
เพราะฉะนั้นความยุติธรรมที่แท้จริงนั้นจึงหาไม่ได้ ถ้าไม่เกี่ยวกับธรรมะ ถ้ามันเป็นโลกแล้ว มันก็เป็นความยุติธรรมไปตามแบบของโลก ความยุติธรรมอย่างโลก ๆ เป็นเรื่องด้านนอกเสมอไป แต่ถ้าธรรมะแล้วมันไม่เข้าใครออกใครเด็ดขาดโดยประการทั้งปวง เช่น กฎแห่งกรรมก็ดี กฎแห่งความไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตาก็ดี เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ทางให้ถึงความดับทุกข์ก็ดี เหล่านี้มันเป็นสิ่งที่เด็ดขาดและยุติธรรมอย่างยิ่ง ไม่เห็นแก่หน้าใคร ไม่มีผู้ได้สิทธิพิเศษหรืออะไรทำนองนั้น มันเป็นธรรมชาติที่มีอำนาจเด็ดขาดตายตัว
สำหรับผมเองคิดเหมือนกันว่ากฎแห่งกรรมเป็นสิ่งที่ยุติธรรมที่สุด ไม่มีใครหนีได้ต้องรับกับสิ่งที่ตนทำอยู่ดี ไม่รู้ว่าที่บ้านเมืองเราเป็นเช่นนี้เพราะผลกรรมจากการที่เราเอาแต่นิ่งเฉยกันความไม่ถูกต้องหรือป่าว ว่าแต่สัญลักษณ์ข้างบนคืออะไรหรือ
ตอบลบเห็นด้วยอีกคน เพราะชาวพุทธอย่างผมที่บวชเรียนมาแล้ว
ตอบลบก็เห็นด้วยว่า ความยุติธรรมที่เป็นกลางที่สุดและเที่ยงธรรมจริงๆ
ก็คงจะเป็นกฏแห่งกรรมนี่แหละ
แต่สัญลักษณ์ข้างบนนั้นคุ้นๆนะ มาจากเรื่องไรเอ่ย
ม่อน
ตอบลบม่อนเดินทางสายนี้แหละ (ผู้นำความคิดให้สังคม)
ถูกต้องแล้ว...(ไม่ต้องมีคำอธิบาย...คงเข้าใจ)
..ฟันธง..
..เป็นแรงใจ..อีกครั้งครา..
อาจารย์แรก
เจ๋ง จิง
ตอบลบความยุติธรรมคือ การที่เราเข้าถึงธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ได้มากที่สุด
ตอบลบม่อน เขียนดีมาก เจ๋งจิง