วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ปฏิวัติชาติ “สยาม” สู่ “ไทย” พ้นจากความเลวร้าย... สู่ความเลวร้ายกว่า จริงหรือ ?



(ร่วมด้วยช่วยกัน...จากคนเซ็งประเทศ)

เอาละครับ...ขำกันให้ฟันร่วงกันเชียว! ขำกันให้ตาย! ...วันนี้ก็มาถึงจนได้ หัวข้อในวันนี้ พูดถึงพี่ไทยล้วนๆครับ ให้ดับดิ้นเถอะครับ ถ้าตามหัวข้อจริงที่ได้รับบัญชามาก็คือ “หลวงประดิษฐมนูธรรมกับการเปลี่ยนแปลงสังคมและการเมืองไทย” แต่ยังไงก็ตาม มันก็เกี่ยวกับพี่ไทยแน่ๆ โธ่ถัง ถ้าจะว่ากันตามจริงแล้วทุกครั้งในเนื้อหาหลักผมพยายามเลี่ยงการพูดถึงเกี่ยวกับพี่ไทยให้มากที่สุดนะครับ พยายามมองแค่ในมุมของ “เสรีนิยม” และ “อเสรีนิยม” ที่เป็นแนวคิดสากลล้วนๆ แต่คราวนี้ เจาะใจเลยครับ พี่ไทยครับ หรือชื่อเดิมพี่แกคือ พี่สยาม และไหนจะยังเรื่องปฏิวัติสังคมการเมืองของท่านปรีดี พนมยงค์หรือหลวงประดิษฐมนูธรรมอีกเล่า เฮ้อน่าปวดใจจริงครับ

ขอระบายเล็กน้อยนะครับ ความจริงแล้วผมไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดีต่อชาตินะครับ แต่ว่าที่ผมเซ็งสุดกับครั้งนี้ เพราะผมเบื่อการเมืองไทยอย่างสุดๆเลยครับท่านผู้ชมทั้งหลาย ผมไม่รู้ว่าทุกท่านคิดเหมือนผมหรือไม่ก็ตาม ผมไม่เคยพอใจกับ “ระบบ” ของประเทศนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นทั้งระบบข้าราชการ ทั้งประจำ การเมือง ไปจนถึงระบบ “ความคิด” แบบบ้านๆของไทยเลย เช่น สอนให้ลูกเป็นเจ้าคนนายคน เป็นแล้วทำไม ก็โกยน่ะสิครับ ขำหรือเปล่าครับทุกท่าน ผมขำจนน้ำตาไหลพรากเลย พวกชนชั้นปกครองก็สุดยอดครับ โอย...ไม่ต้องSaid... “ระบบมันบ้าไปแล้วครับ” แ...ง กินยาไม่เขย่าขวดหรือไง (ขณะเขียนใจหายและเหงื่อแตกเป็นนิจ) และไหนต้องพูดถึงในช่วงการเปลี่ยนแปลงประเทศโดยคณะราษฎรสายพลเรือน ในปี ๒๔๗๕ โดยท่านปรีดี พนมยงค์ อีกละ ผมเข้าใจว่า ท่านต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศในทางที่ดีขึ้น (ใช่หรือไม่คงตอบไม่ได้คงต้องรอไปถามท่านเองครับ) แต่ว่า ณ ปัจจุบัน นี้ล่ะ เป็นไงครับ...................... ยอดเยี่ยมมากครับ! เราเป็นสุดยอดครับ สุดยอดที่อีกไม่นานก็จะสิ้นชาติ................. (หยุดคิดนิดนึง...กำลังระงับอารมณ์ที่กำลังขึ้น) เฮ้อ แต่ยังไงงานต้องเป็นงานครับ เลิกบ่นก่อนดีกว่า คราวนี้ก็เข้ามาสู่เนื้อหากันดีกว่าครับ


ปรีดี พนมยงค์

ก่อนอื่นเรามารู้จักท่านปรีดี พนมยงค์ หรือ หลวงประดิษฐมนูธรรม (ที่ไม่ใช่หลวงประดิษฐไพเราะ) กันก่อนดีกว่าครับ

ศาสตราจารย์ ดร. ปรีดี พนมยงค์ (11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 - 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526) หรือ หลวงประดิษฐมนูธรรม เป็นผู้นำสมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือน ผู้อภิวัฒน์การปกครองของสยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย เป็นนายกรัฐมนตรี 3 สมัย และรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ อีกหลายสมัย ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยต่อต้านกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น มีชื่อรหัสว่า "รู้ธ" เป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง และเป็น "ผู้ประศาสน์การ" คนแรกและคนเดียวของมหาวิทยาลัยฯ นอกจากนี้ยังเคยดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ 8และได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องในฐานะ "รัฐบุรุษอาวุโส" ด้วย

ในปี พ.ศ. 2543 องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ได้ประกาศบรรจุชื่อปรีดีไว้ใน ปฏิทินบุคคลสำคัญของโลก ปี ค.ศ. 2000-2001

ประวัติ

ปรีดี พนมยงค์ หรือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 ที่เรือนแพหน้าวัดพนมยงค์ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นบุตรคนที่ 2 ของ นายเสียง พนมยงค์ และ นางลูกจันทน์ พนมยงค์ โดยบรรพบุรุษข้างบิดาสืบเชื้อสายมาจากพระนมในสมัยกรุงศรีอยุธยา ชื่อ "ประยงค์" (เล่าสืบต่อกันมาว่า พระนมประยงค์ เป็นผู้สร้างวัดในที่สวนของตัวเอง ห่างจากกำแพงพระราชวังด้านตะวันตกโดยตั้งชื่อตามผู้สร้างว่า วัดพระนมยงค์ หรือ วัดพนมยงค์ ซึ่งต่อมาเมื่อมีการประกาศพระราชบัญญัติขนานนามสกุล พ.ศ. 2456 ทายาทจึงได้ใช้นามสกุลว่า "พนมยงค์" ซึ่งตระกูลพนมยงค์ได้อุปถัมภ์วัดนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน )

การศึกษา

สำเร็จการศึกษาในระดับประถมที่ โรงเรียนวัดศาลาปูน อำเภอกรุงเก่า ได้เข้าศึกษาต่อชั้นมัธยมต้น ณโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร และมัธยมปลาย ณ โรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลกรุงเก่า หรือปัจจุบันคือ โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย และโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย หลังจากนั้นออกมาช่วยบิดาทำนาหนึ่งปี และจึงได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม เมื่อปี พ.ศ. 2460

ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2462 สอบไล่วิชากฎหมาย ชั้นเนติบัณฑิตได้ เมื่ออายุ 19 ปี และเมื่ออายุ 20 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกเนติบัณฑิตยสภา เนื่องจากกระทรวงยุติธรรมพอใจในผลสอบ จึงให้ทุนไปเรียนต่อด้านกฎหมายที่ประเทศฝรั่งเศส โดยเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยก็อง (Univesite de Caen) และศึกษาพิเศษจากอาจารย์เลอบอนนัวส์ (Lebonnois) จนสำเร็จการศึกษาได้ปริญญารัฐเป็น "บาเชอลิเอร์" กฎหมาย (Bachelier en Droit) และได้ปริญญารัฐเป็น "ลิซองซิเอ" กฎหมาย (Licencie en Droit)

เมื่อ พ.ศ. 2469 สำเร็จการศึกษาด้านนิติศาสตร์ (Sciences Juridiques) ระดับปริญญาเอก และสอบไล่ได้ประกาศนียบัตรการศึกษาชั้นสูงในทางด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง (Diplome d’Etudes Superieures d’Economic Politique) จากมหาวิทยาลัยปารีส ได้ปริญญารัฐเป็น "ดุษฎีบัณฑิตกฎหมาย"(Docteur en Droit) นับเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ศึกษาต่อจนจบดุษฎีบัณฑิตด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยปารีส


เอาล่ะครับคราวนี้ทุกท่านคงพอจะรู้จักรู้จักท่านปรีดี พนมยงค์ หรือ หลวงประดิษฐมนูธรรมกันสักเล็กน้อยแล้ว (ถ้าหากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมสามารถหาหนังสืออ่านเพิ่มได้ครับ มีเยอะมากหรือตาม Website ต่างๆก็ได้ครับ ที่ยกมาก็นำมาจาก Wiki ครับ) ครามนี้เราจะมาดูแนวคิดของท่านกันนะครับว่าท่านมีแนวคิดในการ “เปลี่ยน” สังคมสยามเช่นไร

อุดมการณ์ ของท่านปรีดี พนมยงค์

เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ท่านปรีดี พนมยงค์และคณะราษฎร ได้ปฏิวัติประเทศในปี ๒๔๗๕ ผมคงจะไม่ขอกล่าวว่าที่ท่านทำผิดหรือถูก ควรหรือไม่ควร จะไม่ขอตำหนิท่าน ถึงแม้ว่าบางคน (รวมถึงตัวผมด้วยก็ตามที) อาจจะมีความคิดในหลายแง่มุม แต่นั่นไม่มีประโยชน์และผ่านมาแล้ว เราคงไม่สามารถแก้ไขมันได้...

ตัวผมได้มีโอกาสศึกษาประวัติศาสตร์ในเหตุการณ์ปฏิวัติ ๒๔๗๕ มาบ้างแต่ผมไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก แต่ผมได้สนใจในเรื่องความคิดของท่านปรีดีมากกว่า ทัศนะของท่านที่ต้องการเปลี่ยนประเทศจะมีลักษณะในรูปใด ซึ่งนั่เองผมคิดว่ามันคือรากฐานในการกระทำของท่านนั่นเอง และผมก็ได้พบบทความอยู่เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจมาก นั่นคือเรื่อง “อุดมการณ์สังคมนิยมประชาธิปไตย” ของท่านปรีดี พนมยงค์ ซึ่งอยู่ในหนังสือ “สัจจะแห่งประวัติศาสตร์ รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์” ของ
“สุพจน์ ด่านตระกูล” ในหน้า ๓๓ ถึง ๓๔ ซึ่งมีสาระดังนี้

อุดมการณ์สังคมนิยมประชาธิปไตยของ นายปรีดีพนมยงค์ ประกอบด้วยหลักการ ๓ ประการด้วยกัน คือ ปรัชญาสสารทางธรรมทางสังคมที่เป็นวิทยาศาสตร์สังคม สหกรณ์สังคมนิยม และประชาธิปไตยสมบูรณ์

นายปรีดี เป็นผู้ที่ยึดมั่นในปรัชญาสสารธรรมทางสังคมที่เป็นวิทยาศาสตร์สังคม ซึ่งมีทัศนะว่า สภาวะทาง สังคมเกิดขึ้น และมีอาการเคลื่อนไหวตามกฎธรรมชาติของมวลราษฎร ในข้อเขียนชื่อ “อนาคตของประเทศไทยควรดำเนินไปในรูปใด” (พ.ศ.๒๕๑๖) นายปรีดี ยืนยันว่า “ระบบเพื่อประโยชน์ของชนจำนวนน้อยจะคงอยู่ชั่วกัลป์ปาวสานไม่ได้ คือ อนาคตจะต้องเป็นของราษฎรซึ่งเป็นพลเมืองส่วนข้างมาก” ได้แก่ “ผู้ไร้สมบัติ ชาวนายากจน ผู้มีทุนน้อย รวมทั้งนายทุนที่รักชาติ ซึ่งมิได้คิดเอาแต่ประโยชน์ส่วนตัวหรือส่วนของวรรณะพวกตัวเป็นที่ตั้ง แล้วก็ต้องการระบบสังคมใหม่ที่จะช่วยความเป็นอยู่ของพลเมืองส่วนข้างมากให้ดีขึ้น คือ มีระบบการเมืองที่สอดคล้อง สมานกับพลังการผลิตทางเศรษฐกิจของสังคม เพื่อให้การเบียดเบียนหมดไปหรือลดน้อยลงไปมากที่สุดเท่าที่จะมากได้”

ในด้านการบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจนั้น นายปรีดีเห็นว่า ควรจัดให้มีสหกรณ์ขึ้นทำหน้าที่เป็นผู้ประกอบการเศรษฐกิจ เพื่อประโยชน์แก่มวลสมาชิก แนวความคิดดังกล่าวนี้ได้ปรากฏเป็นรูปธรรมอยู่ในหมวด ๘ แห่งร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติที่นายปรีดีได้เป็นผู้จัดทำขึ้น แต่เกิดอุปสรรคขัดขวางจึงไม่ได้นำมาใช้ แต่ออกมาเป็น พ.ร.บ.สหกรณ์

ในด้านประชาธิปไตยสมบูรณ์นั้น นายปรีดีมีความเชื่อมั่นอยู่ว่า “สังคมจะดำรงอยู่ได้ก็โดยมวลราษฎร ดังนั้นระบบของสังคมที่ทำให้มวลราษฎรมีพลังผลักดันให้สังคมก้าวหน้า ก็คือระบบประชาธิปไตย” นายปรีดีให้อรรถกถาธิบายด้วยว่า “รูปของสังคมใดๆนั้นย่อมประกอบด้วย ระบบเศรษฐกิจการเมือง ทัศนะสังคม ดังนั้นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์จึงต้องประกอบด้วย ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ประชาธิปไตยทางการเมือง ทัศนะสังคมที่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งเป็นหลักนำทางจิตใจ” รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับ ๙ พฤษภาคม ๒๔๘๙ เป็นตัวอย่างอันดีถึงความเพียรพยายามของนายปรีดี ในการสถาปนาระบบประชาธิปไตยสมบูรณ์ขึ้นในสังคมไทย เพราะมีบทบัญญัติให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกพฤฒสภา เป็นผู้ที่ได้รับเลือกตั้งจากราษฎร โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้บัญญัติให้ประชาชนมีสิทธิมนุษยชนอย่างสมบูรณ์ ดังปรากฏอยู่ในมาตรา ๑๓ ๑๔ และ ๑๕ ของรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว

สรุปแล้ว สังคมไทยในอุดมทัศน์ของนายปรีดี เป็นสังคมประชาธิปไตยสมบูรณ์ กล่าวคือ เป็นสังคมที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้รับการศึกษาอย่างเต็มที่ และมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาของเขาด้วยตัวของเขาเอง มีส่วนร่วมในการปกครองตนเอง โดยจัดให้มีสหกรณ์ ทำหน้าที่เป็นผู้ประกอบการทางเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์แก่มวลสมาชิก มีเทศบาลที่ได้รับเลือกจากราษฎรในท้องถิ่นเพื่อปกครองตนเอง สังคมเช่นนี้ย่อมเป็นสังคมที่ทุกคนมีงานทำ ปราศจากความอดอยาก มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และเป็นสังคมที่บุคคลสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

นี่คือบทหนึ่งของหนังสือดังกล่าวที่ผมยกมา ผมคิดว่า “อุดมการณ์สังคมนิยมประชาธิปไตย” ของท่านที่ได้ยกมานี้ ตามความคิดของผมนั้นถือได้ว่าเป็นความคิดแบบรวบยอดของท่านปรีดี ที่ประสงค์ต่อสังคมสยามในสมัยของท่าน และนั่นเองก็ได้เป็นแรงผลักดันให้เกิดการปฏิวัติขึ้นใน ๒๔๗๕ เป็นที่แน่นอนว่าหากไม่มีจุดมุ่งหมาย การกระทำย่อมไม่สามารถเกิดขึ้นได้

ทุกท่านยังจำได้หรือไม่ว่าผมเองได้เคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับแนวคิดเรื่อง “ยูโทเปีย” หรือ “สังคมในอุดมคติ” มาแล้ว (ดูได้จากบทความ “รัฐและสังคมอุดมคติ ? จากความจริงสู่ความฝัน”) ผมคิดว่าแนวความคิดของท่านปรีดีที่ได้ยกมาให้ทุกท่านเห็นนั้น มันก็คือ “ยูโทเปีย” ของท่านนั้นเองแหละครับ เป็นยูโทเปียที่วางอยู่บนความเป็นสยามประเทศ เป็นสิ่งที่ท่านปรีดีหวัง (และท่านก็ลงมือทำ) ให้เป็นต่อสังคมสยาม

วิเคราะห์ “อุดมการณ์สังคมนิยมประชาธิปไตย” ของท่านปรีดี

คราวนี้ผมจะมาวิเคราะห์กันละครับ ในเรื่อง “อุดมการณ์สังคมนิยมประชาธิปไตย” จากที่ได้ยกมาให้เห็นแล้วว่าท่านมีความเห็นอย่างไร เราสามารถสรุปได้ว่าท่านมีรากฐานทางความคิด ๓ ประการคือ

1.ปรัชญาสสารธรรมทางสังคมที่เป็นวิทยาศาสตร์สังคม
2.สหกรณ์สังคมนิยม
3.ประชาธิปไตยสมบูรณ์


นี่คือหลักการทั้งสามที่เป็นรากฐานทางความคิดของท่านปรีดี ซึ่งถ้าดูทั้งสามหลักการนั้นผมคิดว่าเป็นการผสมผสานหลักการที่เป็น “ประชาธิปไตย” และ “สังคมนิยม” เข้าด้วยกัน ผมคิดว่าแนวความคิดของท่านปรีดี มีส่วนคล้าคลึงกับของ จอห์น รอลส์ (John Rawls) ซึ่งผมได้เคยกล่าวไปแล้วในบทความเรื่อง “ความยุติธรรมที่แท้จริง” ซึ่งเป็นการผสมผสานแนวความคิดแบบ “ประชาธิปไตย” และ “สังคมนิยม” เข้าด้วยกัน

แล้วอะไรที่เป็นเครื่องชี้วัดว่าอุดมการณ์ของท่านปรีดี ส่วนไหนเป็นประชาธิปไตย และส่วนไหนเป็นสังคมนิยม เราจะมาดูกันเป็นข้อๆว่าหลักการข้อใดเป็นเช่นไร ดังนี้

1. ปรัชญาสสารธรรมทางสังคมที่เป็นวิทยาศาสตร์สังคม
ผมคิดว่าในหลักการข้อนี้ไม่ได้บ่งชี้ชัดเจนว่าเป็น “ประชาธิปไตย” หรือ “สังคมนิยม” มากเท่าใดนัก เพราะเป็นเพียงพื้นฐานในการมองความเป็นไปของสังคม ยังมิได้เป็นตัวบ่งชี้แต่อย่างใด หลักการนี้มองว่า แนวทางที่สังคมจะก้าวไปเป็นเช่นไร เหมือนกับเป็นสิ่งบ่งชี้ทิศทางความเป็นไปได้ของสังคมว่าจะเป็นอย่างไร แต่ก็มีนัยแอบแฝงถึงความเป็น “ประชาธิปไตย” และ “สังคมนิยม” อยู่ส่วนหนึ่งด้วยเช่นกัน โดยที่นัยที่แฝงถึง “ประชาธิปไตย” นั่นคือท่านมองว่า “อนาคตจะต้องเป็นของราษฎรซึ่งเป็นพลเมืองส่วนข้างมาก” นั่นก็คือเป็นเหมือนกับการบอกถึงระบบที่เป็นประชาธิปไตย ที่เน้นเสียงข้างมากของคนในสังคม มิใช่คนเพียงกลุ่มเดียว นั่นเองก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงอุดมการณ์แบบประชาธิปไตย และในส่วนของแนวคิดที่แฝงมาในแบบ “สังคมนิยม” นั่นก็คือที่มองว่าพลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศได้แก่ ผู้ไร้สมบัติ ชาวนายากจน ผู้มีทุนน้อย ตามความคิดของผมคิดว่าแนวความคิดนี้ท่านหวังจะให้คนในกลุ่มนี้มีชีวิตที่ดีขึ้น ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐ และมีสิทธิ์มีเสียงในสังคมเทียบเท่าชนนั้นอื่น ซึ่งผมคิดว่าเป็นนัยแฝงความคิดแบบสังคมนิยมที่เล็งเห็นถึงความไม่ยุติธรรมและแตกต่างในสังคม ซึ่งรัฐบาลสามารถที่จะปฏิบัติต่อปัจเจกบุคคลที่มีความเหมาะสมต่างกันนั้นอย่างต่างกันได้ อันเป็นพื้นฐานที่นำไปสู่หลักการข้อที่ ๒


2. สหกรณ์สังคมนิยม
ผมคงจะไม่ขอลงรายละเอียดถึงลักษณะของสหกรณ์สังคมนิยม แต่แค่อยากชี้ให้เห็นว่าแนวความคิดนี้ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์เช่นไรเพียงเท่านั้น (เพราะในเรื่องสหกรณ์สังคมนิยมนั้นถือได้ว่ามีรายละเอียดที่มากซึ่งอาจจะเสียเวลาในการกล่าวถึง)
ตามทัศนะในหลักการข้อนี้ผมมองว่าเป็นเป็นเหมือนกับการประยุกต์แนวคิดแบบ “สังคมนิยม” เข้ามาช่วยในกระบวนการทางสังคมเพื่อให้สังคมมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเป็นการช่วยเหลือคนส่วนมากของสยามประเทศนั่นคือพวก ผู้ไร้สมบัติ ชาวนายากจน ผู้มีทุนน้อย และยังรวมถึงพวกที่ไม่มีงานทำ ให้มีงานและรายได้อย่างเป็นธรรมแก่พลเมือง ลดการเอารัดเอาเปรียบของกลุ่มพ่อค้านายทุนที่มีผลต่อคนในกลุ่มนี้ และยังส่งผลถึงเสถียรภาพของประเทศในด้านการผลิตอีกด้วย


3. ประชาธิปไตยสมบูรณ์
ในหลักการข้อนี้ก็คงไม่ต้องกล่าวอะไรมาก ก็ตรงตามชื่อก็คือประชาธิปไตยสมบูรณ์ ซึ่งก็เป็นผลมาจากหลักการข้อที่ ๑ นั่นเอง ซึ่งมองว่า “สังคมจะดำรงอยู่ได้ก็โดยมวลราษฎร ดังนั้นระบบของสังคมที่ทำให้มวลราษฎรมีพลังผลักดันให้สังคมก้าวหน้า ก็คือระบบประชาธิปไตย” โดยที่ประชาชนจะต้องเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และเป็นตัวผลักดันประเทศ ซึ่งเปลี่ยนจากเพียงคนกลุ่มเดียว มาเป็นประชาชนทุกคนในชาติ ให้สิทธิเสรีภาพและอำนาจในการขับเคลื่อนประเทศอย่างเท่าเทียมกัน


นี่คือแนวคิดของท่านปรีดีในเรื่อง “อุดมการณ์สังคมนิยมประชาธิปไตย” ที่ท่านหวังให้สังคมสยามเป็นดังที่ท่านคิด ตามความคิดของผมนั้นถือได้ว่ายอดเยี่ยมมาก โดยเฉพาะการที่เอาประชาธิปไตยและสังคมนิยมมารวมกัน ผมคิดว่าคำตอบไม่ได้อยู่ที่ “เสรีนิยม” หรือ “อเสรีนิยม” หากแต่คำตอบต้องสามารถผสมผสานแนวคิดทั้งสองนั้นได้ หลักการและแนวคิดของท่านปรีดีนั้น เป็นการแก้ปัญหาที่ทั้ง “เสรีนิยม” และ “อเสรีนิยม” มีทั้งคู่ โดยการนำขั้วตรงข้ามมาเสริมและแก้ปัญหาซึ่งกันและกัน

แต่แนวคิดเรื่อง “อุดมการณ์สังคมนิยมประชาธิปไตย” ของท่านปรีดีก็ยังคงมีจุดบอดอยู่เช่นกัน
แต่ผมคิดว่านั่นเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นครับคือ การใช้คำเรียก “ประชาธิปไตยสมบูรณ์”
ผมคิดว่าปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาที่เล็กที่สุด เพราะถ้าว่ากันตามหลักการแล้วนั้นควรจะเรียกว่าเป็น “สังคมนิยมประชาธิปไตย” หรือ “ผสมผสานระหว่างสังคมนิยมกับประชาธิปไตย” (หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้องกับสังคมนิยมและประชาธิปไตย) การที่บอกว่าเป็น ประชาธิปไตยสมบูรณ์ คงจะไม่ได้เพราะแนวความคิดของท่านปรีดี ยังคงมีแนวความคิดแบบสังคมนิยมผสมอยู่ด้วย (ดูในหลักการข้อที่ ๑ และ ๒) ดังนั้นการจะบอกว่าเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ซึ่งนั่นมีความหมายอย่างหนึ่งว่าทั้งกระบวนการทั้งหมดเป็นประชาธิปไตย นั่นก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน วิธีการแก้ไม่ยากอะไร แค่เปลี่ยนคำให้เหมาะสมเท่านั้น (จาก “อุดมการณ์สังคมนิยมประชาธิปไตย” ไปเป็น “ประชาธิปไตยสมบูรณ์” พิจารณาดูแล้วมันขัดแย้งในตัวของมันเอง) และอีกปัญหาหนึ่งก็คือ “เรื่องการยอมรับ” ผมคิดว่าปัญหานี้คล้ายกับ ทฤษฏีเรื่องความยุติธรรมของ จอห์น รอลส์ (John Rawls) ที่เป็นการผสมผสานกันระหว่าง “เสรีนิยม” และ “สังคมนิยม” ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่าทฤษฎีของ รอลส์ ได้ถูกต่อต้านจากทั้งสองขั้ว ทั้ง “เสรีนิยม” และ “สังคมนิยม” แนวคิดของท่านปรีดีเองก็น่าจะประสบปัญหาแบบนั้นด้วย แต่ปัญหาข้อนี้ไม่ได้เหมือนในปัญหาแรก เพราะปัญหาแรกเป็นปัญหาภายในตัวทฤษฎีของท่านเอง แต่ปัญหาหลังนี้เป็นปัญหาภายนอก คือจะมีคนยอมรับหรือคัดค้านหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคนอื่นว่าเขามีมุมมองแบบใด ระหว่าง “เสรีนิยม” และ “สังคมนิยม” หรือสามารถยืดหยุ่นได้หรือไม่


มุมมองจากปัจจุบันสู่อดีต ความจริงที่เกิดขึ้น

หลังจากเราได้ทำความเข้าใจในแนวคิดและหลักปรัชญาของท่านปรีดีไปแล้ว รวมถึงสิ่งที่เป็นจุดบอดของแนวคิด แต่ผมคิดว่ามีไม่มากเท่าไหร่ เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ฉะนั้นแล้วผมจะขอกล่าวในมุมมองของคนไทยในปัจจุบัน มองย้อนไปยังสยามตอนปฏิวัติบ้างละครับ

เรามองเห็นอะไร...ผมมองเห็นว่าปรัชญาน่ะดีแล้วครับ เต็ม 10 ให้ 9.99 เลย แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้นครับ แล้วในทางปฏิบัติจริงล่ะ เต็ม 10 ผมคงให้ติดลบครับด้วยหลายๆเหตุผลครับ ขอยกตัวอย่างดังนี้ครับ

1. การไม่ได้เตรียม “คน” ให้พร้อมกับระบบการเมืองและสังคมใหม่
ตามความคิดนี้ผมคิดว่าเป็นปัญหาใหญ่มาก ของสยามปี ๒๔๗๕ เลยทีเดียว คนสักกี่คนในประเทศจะทราบหรือไม่ว่า อะไรคือประชาธิปไตย (ซึ่งบางคนยังไม่รู้ว่าเป็นคน สัตว์ หรือสิ่งของ) ในปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ของระบบการปกครองทุกระบบเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะประชาธิปไตยซึ่งถือว่าเป็น “ของใหม่” สำหรับชาวสยามในสมัยนั้น จนใหม่เกินไป เพราะเดิมเราเคยชินแต่ระบอบ “สมบูรณาญาสิทธิราชย์” (ถ้าเขียนผิดต้องขออภัยอย่างสูง) ซึ่งนั่นเองทำให้เกิดช่องโหว่เป็นอย่างมาก เช่น ช่องโหว่ในเรื่องความรู้ นำไปสู่ช่องโหว่ในเรื่องของสิทธิเสรีภาพ และกฎหมาย เป็นช่องให้เกิดการทุจริต เอารัดเอาเปรียบ เป็นต้น ปัญหานี้สามารถสรุปรวบยอดได้อย่างเดียวคือ “ความรู้ของประชาชนที่ยังมีน้อย” ถ้าหากมีเวลา “เตรียมคน” ให้พร้อมมากกว่านี้น่าจะเป็นทางที่ดีกว่า นี่อาจจะเป็นความผิดพลาดของท่านปรีดี และคณะ หากประชาชนในชาติมีความรู้เทียบเท่าท่านปรีดีได้สักครึ่ง (หรือครึ่งของครึ่งก็ได้) คงจะไม่เกิดปัญหาแบบนี้แน่นอน (ซึ่งปัญหาข้อนี้ในปัจจุบันก็ยังคงเป็นช่องโหว่และกระทบมาถึงจวบจนปัจจุบันก็แก้ไม่ได้ ซึ่งก็คือปัญหาแบบประชาธิปไตยแบบไทยๆเรานั่นเอง)


2. การช่วงชิงอำนาจของ “เก่า” และ “ใหม่” ประชาชนรับกรรม
ที่ผมกล่าวเช่นนี้เพราะว่าเมื่อมีการปฏิวัติ เกิดการเปลี่ยนแปลงย่อมต้องมีผู้สูญเสียอำนาจไป ซึ่งหมายถึง "ผลประโยชน์” นั่นเองก็ทำให้เกิดชนวนในการทำสงครามระหว่างคนที่ต้องการมีอำนาจ และแสวงหาผลประโยชน์ และยิ่งเป็นการปฏิวัติเปลี่ยนระบบ โดยที่เป็นระบบใหม่โดยที่ผู้คนยังไม่คุ้นชิน (ประมาณทั้งประเทศมึนตึบ) นั่นก็ยิ่งเป็นช่องว่าให้กับคนที่อยากจะมีอำนาจใช้ประชาชนผู้ไม่รู้หลักการและแนวทางปฏิบัติเป็นเครื่องมือเพื่อหาผลประโยชน์ รวมถึงผู้ที่มีอำนาจอยู่ในมือก็ทำเช่นกัน เพื่อปกป้องอำนาจและผลประโยชน์ของตน ใครรับกรรม...ประชาชนผู้มึนตึบ (และเรื่องนี้ก็เป็นปัญหาสืบมาจนถึงปัจจุบัน...)


3. การร่างกฎระเบียบและกติกาที่มีปัญหา
ปัญหานี้มันสืบเนื่องมาจากข้อที่ 1 และ 2 นั่นละครับ เมื่อประชาชนส่วนใหญ่ขาดความรู้ความเข้าใจในตัวระบบกติกา การร่างกฎกติกาที่ออกมาจึงมีปัญหาตามมาด้วย และอาจจะรวมถึงความโง่และการตีความแบบศรีธนนชัยอีก อะไรที่ดีๆก็พลอยมั่วไปกับเขาอีก ท่านคิดว่าประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญกี่ฉบับแล้วครับ เยอะครับ! เยอะจนนับไม่ไหว และแม้จะเยอะก็ตาม รัฐแจกให้อ่าน แล้วอ่านกันไหมครับ ? (รวมถึงตัวผมด้วยนั่นแหละ)

4. อำนาจเปลี่ยนมือ “ไพร่” ครองเมือง
ที่ใช้คำว่า “ไพร่” ไมใช่ต้องการดูถูกเหยียดหยามใคร แต่ในความหมายที่อยากจะใช้คือ “พวกที่ไม่ควรได้อำนาจอยู่ในมือ” หรือ “พวกชั่วนั่นเอง” ปัญหานี้มันสืบเนื่องมาจากทั้งข้อ 1, 2 และ 3 นั่นแหละครับ เมื่อคนในประเทศไม่รู้ บันไดสู่อำนาจอยู่ตรงหน้า การก้าวขึ้นก็ไม่ยาก แค่มีเงินก็มีอำนาจได้ เพราะคนประเทศนี้ไม่รู้มากกว่ารู้ การช่วงชิงอำนาจก็เกิด แต่ใครมีเงินมากกว่าก็ได้ไป แล้วไหนจะยังกฎกติกา ที่ช่องโหว่เพียบอีก เสร็จ “ไพร่” ครับ (คำว่า “ไพร่” เอามาจากหนังสือ “ดีแต่เกิด” ของซูโม่ตู้ครับ...แรงดี)

นี่คงเป็นแค่คร่าวๆนะครับ ถ้าให้ต้องยกมาถล่มกันคงเขียนกันตาย หรืออาจจะไม่อยากเขียนเลยสักตัวอักษรเดียว


คุยกันอีกนิด...

เอาล่ะครับวันนี้ก็หมดมุขแล้ว แต่ที่ผมวิจารณ์ในหัวเรื่อง “มุมมองจากปัจจุบันสู่อดีต ความจริงที่เกิดขึ้น” ตรงนี้อย่าไปใส่ใจมันเลยครับ ที่ผมต้องการก็คือผมอยากจะให้ทุกท่านได้รู้แนวความคิด ของท่านปรีดี พนมยงค์ หรือ หลวงประดิษฐมนูธรรม (ที่ไม่ใช่หลวงประดิษฐไพเราะ) กันมากกว่าที่จะมากล่าวถึง “ผล” ของการปฏิบัติที่ตามมา (ซึ่งอาจจะวิจารณ์มากไปหน่อย ต้องขออภัยด้วย) เพราะมันผ่านไปแล้วครับ มันผ่านไปแล้ว อดีตมันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วครับ สิ่งสำคัญคือเราจะทำยังไงถึงจะอยู่จากมันได้ต่างหาก และจะทำอย่างไรให้มันดีขึ้นกว่าก่อน ถือเป็นการบ้านก่อนนอนนะครับ แม้พระอาทิตย์ยังส่องอยู่แต่ผมก็ไม่ไหวแล้วครับ... ขอหลับสักงีบก่อนนะครับ...
..........ราตรีสวัสดิ์..........


“ความดีที่แท้จริงอยู่ที่ใจของคน”

5 ความคิดเห็น:

  1. อ่านไป อ่านมา
    ประชาธิปไตยบ้านเราก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง
    คือ คนที่ไม่ผิด ถวายฎีกาแทนคนที่ผิดได้
    เหอะๆๆๆๆ ของเค้าดีจริง

    ตอบลบ
  2. อ้าว..คนที่คุณก็รู้คือใครกลับมาติดคุกแล้วหรอ โฮ๊ะๆๆ

    อุ้ย!เขาห้ามพูดเรื่องการเมืองในที่สาธารณะที่หน่า

    ไม่เอาไม่เอา ไม่พูด เด๋วจะผิดใจกันเปล่าๆ

    เบื่อการเมืองคร่าาา

    ตอบลบ
  3. เป็นการดีน่ะครับถ้าเราสามารถนำแนวคิดต่างๆมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสังคมที่แตกต่างกันได้ แม้ว่าแนวคิดต่างๆจะมีจุดดีจุดเสียแต่หากได้ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสังคมได้ แม้ว่าจะไม่ใช้แนวคิดที่ดีพร้อมแต่คงดีกว่าที่จะนำแนวคิดต่างๆมาโดยไม่ได้รับการปรับปรุงเป็นแน่

    ตอบลบ
  4. ประเทศเรา คงกำลังจะสูญสิ้น

    ยังไง ประเทศไทย ตอนนี้ ก็ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยแน่ๆ


    แต่มันคือ .... ?

    ตอบลบ
  5. This is a little bit conclusion for your all 4 articles.....

    "Mon....YOU ARE SO EXCELLENCE"

    Anyway, practice makes perfect. Hope finally you could get benefit from your PERSEVERANCE.

    Dharmma bless you

    Ajarn RAK

    ตอบลบ